Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
กรุณาอย่าสับสนนะครับ มาดูคำตอบกัน ชัดๆ{แตกประเด็นจาก Y12097317} ติดต่อทีมงาน

บทนำ

จริงๆแล้วประเด็นที่แตกออกมากระทู้นี้ไม่เกี่ยวข้องใดๆกับเนื้อหาของกระทูู้ที่แตกมาเลย หากแต่ประเด็นเริ่มต้นจะอยู่ที่ ความคิดเห็นที่ 137 เป็นต้นมา ลองมาดูทั้งหมดองค์รวมกันก่อนนะครับ

 ความคิดเห็นที่ 137  

คุณตรัยพลครับ คุณเข้าใจอะไรผิดรึป่าวครับ
เรื่องพระลิขิต คุณจับใจความดีๆนะครับ 
พระลิตขิตที่คนส่วนมากไม่เชื่อว่าจริง คือลิขิตที่นำมาโชว์ ที่เป็นกระดาษห้วนๆแผ่นเดียว ไม่เคยมีใครบอกว่าพระลิขิตไม่มีจริง แล้วเอกสารนี้ไม่มีหน่วยงานไหนของรัฐที่มีส่วนส่วนเกี่ยวข้องเป็นคนออกมาการันตีว่าเป็นเอกสารที่ใช้ในศาล 
ถึงคุณจะไปเอาวิธีการดำเนินคดีมา ก็ไม่ระบุนี่ครับว่าเป็นเอกสารฉบับนี้ 
คุณรักษาบรรยากาศก็เคยบอกว่าพระลิขิตมีทั้งหมด5ฉบับ และหนังสือพิมพ์เก่าๆหลายฉบับ
แล้วผมเคยเอาลิงค์เวบอื่นมาลง คุณยังมามั่วบอกว่าพระลิขิตในเวบนั้นยังบอกว่าของจริง 
ผมเอาลิงค์มาแปะให้ดูว่ามีการทำลิขิตปลอม ขึ้นคุณก็ยังไม่เข้าใจ 
ผมพิมพ์บอกไปแล้วไงครับว่าเอกสารที่ใช้ในศาลต้องมีอากรแสตม์ประทับ
กับพระลิขิตที่นำมาโชว์ในเวบกับเอกสารอื่นที่เกี่ยวกับพระสังฆราชทั้งหมด เป็นเลขไทย(๑ ๒ ๓ ๔ ๕)แต่ที่นำมาแสดงเป็นเลขอารบิต(1 2 3 4 5) ความแตกต่างที่สะดุดตาสุดๆ

ส่วนเรื่อง ศาลอนุญาตให้ถอนฟ้องเพราะโจทย์ขอไปไม่ใช่เหรอครับ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆก็ตามมันก็เป็นเหตุผลของผู้ถอนฟ้องไม่ใช่เหตุผลของผู้พิพากษา
ส่วนเรื่องการเมือง คุณก็ลองไปย้อนคิดดูครับ เหตุใด เรื่องการเมืองที่คุณว่า คนที่เขาเป็นศิษย์วัดพระธรรมกาย ส่วนใหญ่ถึงไม่เอาพรรคการเมืองที่ได้เป็นรัฐบาลปี 42 ทั้งๆที่วัดเขาก็อยู่มาตั้งนาน 30ปีได้ 
เหตุผลคน10,000เหตุผลที่คุณอ้างมันสู้ความจริงแค่เรื่องเดียวไม่ได้หรอกครับ โดยเฉพาะเหตุผลที่มีอัคติด้วยนะครับ
หวังว่าคงจะจบนะครับสำหรับเรื่องพระลิขิตจริงหรือปลอมก็ให้มันคาๆไว้แบบนี้หละครับ

แถมให้อีกนิด การฟ้องกลับคนนั้นคนนี้ เป็นหน้าที่ที่สงฆ์ควรกระทำไหมครับ เคยเห็นพระดีๆที่ไหนเขาฟ้องคนนั้นคนนี้มั้งครับ เรื่องง่ายๆคุณก็ไม่รู้มันไม่ใช่หน้าที่ของสงฆ์ไง 
เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า ที่มันเป็นบุญเป็นกุศล เป็นประโยชน์อย่างอื่นเยอะแยะ
ส่วนพระลิขิตไม่ใช่เนื้อหาหลักในคดีเลยครับ ต่อให้ไม่มีก็ ยังไม่จบหรอกครับ พระลิขิตเป็นแค่เอกสารประกอปอ้างอิงในการดำเนินเท่านั้นครับ ส่วนหลวงพ่อท่านถูกฟ้องหลายคดีครับยิบๆย่อย จนนเนิ่นนานมาหลายปีครับจนมาถึงปี49 แต่ด้วยเหตุผลที่เคยบอกไปแล้วไม่มีพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องโดยตรงมาเป็นพยานครับ หลวงพ่อ(ท่านอยู่ของท่านดีๆ ไม่ใช่เรื่องด้วย)ก็รอๆๆจนยึดเยื้อมาถึงปี49
คุณเชื่อไหมครับ หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่หลายฉบับเรื่มมีการขอขมาต่อหลวงพ่อธัมมชโยลงในหนังสือพิมพ์ตั้งแต่ ปี 2543 ก่อนที่จะมีการขอถอนฟ้องนะครับ 
ไม่ใช่เพราะพระลิขิตเป็นของจริงจนคดีมาถึงปี49 แล้วคุณตรัยพลคิดดูครับหนังสือพิมพ์เขาระดับไหนครับ เขายังต้องต้องขอขมา แต่คุณก็ยังอลัชชีธัมมี่ 
มาดูปัจจุบันดีกว่า ครับว่าตอนนี้เขาไปถึงไหนแล้วตอนนี้ปี2555แล้วนะครับ

แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 55 01:12:17

แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 55 01:04:36

แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 55 00:54:06

แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 55 00:39:06

จากคุณ: พัดลมเย็นๆ 
เขียนเมื่อ: 21 พ.ค. 55 00:26:24


และประโยคที่นำมาเป็นประเด็นก็คือ 


ด้วยประโยคนี้ นี้ผมจึงจำเป็นต้องอธิบายให้เข้าใจกัน เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด ซึ่งจะได้นำมาอธิบายเป็นลำดับต่อจากนี้ ขอให้ท่านผู้อ่านได้พิจารณาจากคดี 2 คดีนี้นะครับ 

คดีที่หนึ่ง 

คดีตัวแทนวัดพระธรรมกายฟ้อง"เดลินิวส์"หมิ่นประมาทยุติ ศาลอาญาสั่งยกฟ้อง วินิจฉัยแล้วกระทำเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนา ทุกข้อความติชมด้วยความเป็นธรรม และแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตใจ เป็นการฟ้องซ้ำ แถมคดีขาดอายุความ 3 เดือน นับแต่วันที่พบการกระทำผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิดแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

ที่ห้องพิจารณาคดี 808  ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 13 พ.ย. ศาลได้ออกนั่งบัลลังค์อ่านคำสั่งในคดีที่พระภาณุมาศ ภาณุปาโณ ผู้รับมอบอำนาจจากพระราชภาวนาวิสุทธิ์(พระธัมมชโย) อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องบริษัทสี่พระยาการพิมพ์ จำกัด จำเลยที่ 1 นายประชา เหตระกูล บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา หนังสือพิมพ์เดลินวส์ จำเลยที่ 2 นายวรพจน์ แสนประเสริฐ จำเลยที่ 3 และ น.ส.เชาวลี ชุมขำ จำเลยที่ 4 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาด้วยเอกสารและผิดพ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 คดีดังกล่าวตามบรรยายฟ้องของโจทก์เมื่อวันที่ 12 เม.ย.2543 ระบุความผิดโดยสรุปว่า ระหว่างวันที่ 27 ส.ค. 2542 ต่อเนื่องกันจนถึงวันฟ้อง จำเลยทั้ง 4 ได้ร่วมกันสนับสนุน และเสนอข่าวในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ โดยเรียกโจทก์ด้วยถ้อยคำแดกดันต่างๆกันว่า นายไชยบูลย์,พระปลอม,ปลาไหล,เดียรถีย์,และเจ้าลัทธิฉาว รวมทั้งข้อความทำนองว่า เล่นขนาดอุ้มเจ้าคณะตำบล เจอเล่ห์กลสารพัดรูปแบบแม้กระทั่งแกล้งดับไฟ อวดอุตริมนุสสธรรม สัมพันธ์ลึกล้ำพระพรหมโมลี-ไชยบูลย์ ขบวนการอุ้มเดียรถีย์ ? และข้อความอื่นๆอันเป็นเท็จใส่ความโจทก์ต่อประชาชนทั่วไปให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง

ทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าโจทก์เป็นคนโง่เขลา ขาดจากความเป็นพระภิกษุ ปลิ้นปล้อนหลอกลวง ประพฤติตนเสื่อมเสีย ยักยอกเงินของวัดไปให้สตรีเพศ ตลอดจนขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ทั้งที่ความจริงแล้วโจทก์ยังอยู่ในสมณเพศ มีสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราช เหตุเกิดที่บริเวณต.คลองสาม อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานีและที่อื่นเกี่ยวพันกัน โจทก์จึงได้ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามความผิดด้วยและให้พวกจำเลยลงโฆษณา คำพิพากษาในหนังสือพิมพ์รายวัน 6 ฉบับเป็นเวลา 7 วัน และให้เป็นผู้ชำระค่าโฆษณาด้วย

ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วรับฟังได้ว่า การเสนอข่าวของจำเลยนั้นได้กระทำติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว แต่การเสนอข่าวและพาดหัวข่าวทุกครั้งหากอ่านเนื้อ หาโดยละเอียดจะพบว่า ถ้อยคำและบทความที่โจทก์กล่าวอ้างว่าเป็นการหมิ่นประมาทนั้น จำเลยได้เสนอหลักฐานไว้ในข่าวด้วย โดยมีที่มาของแหล่งข่าวหรือหากเป็นถ้อยคำของบุคคลสำคัญก็จะมีการระบุตำแหน่งไว้ชัดเจน อาทิ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา อธิบดีกรมการศาสนา หรือพระเถระชั้นผู้ใหญ่ รวมทั้งรัฐมนตรีซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบ

นอกจากนี้พยานหลักฐานที่โจทก์นำมาแสดงต่อศาล ก็ปรากฏรายละเอียดของการให้สัมภาษณ์ของบุคคลต่างๆ ซึ่งให้ข้อคิดและวิธีป้องกันแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้เกี่ยวกับตัวโจทก์ และเมื่อฟังโดยรวมจะเห็นว่าการกระทำของจำเลยก็เพื่อมุ่งหวังปกป้อง พระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาประจำชาติ สำหรับความผิดพ.ร.บ.สงฆ์นั้น ศาลในคดีก่อนได้วินิจฉัยชัดแจ้งแล้วว่า การกระทำของจำเลยไม่ได้เข้าข่ายความผิด ดังนั้นความผิดฐานนี้ของโจทก์ที่ยื่นฟ้องมาจึงเป็นการฟ้องซ้ำ

การเสนอข่าวของจำเลยที่เป็นแหล่งที่มา ก็เพื่อเป็นการให้ข้อมูลแก่ผู้นับถือศาสนาพุทธและผู้ที่เกี่ยวข้องในการใช้ดุลพินิจตัดสินว่า การกระทำและคำสั่งสอนของโจทก์นั้นสมควรหรือไม่ อีกทั้งฝ่ายโจทก์ที่มาเบิกความว่าเรื่องทั้งหมดนั้นจำเลยปั้นแต่งขึ้นมาเอง เพื่อจงใจกลั่นแกล้งหรือมุ่งหวังทำลายโจทก์แต่ฝ่ายเดียวโดยไร้จรรยาบรรณ ฝ่ายโจทก์ก็เบิกความตอบการซักค้านของทนายจำเลยว่า หนังสือพิมพ์ฉบับอื่นก็ลงข่าวเกี่ยวกับโจทก์ในช่วงเวลาและทำนองเดียวกัน ซึ่งถูกโจทก์ที่เป็นพระภิกษุควรสละแล้วซึ่งสิ่งทั้งปวงฟ้องร้องเช่นเดียวกัน เห็นได้ว่าการที่จำเลยใช้ถ้อยคำหมิ่นประมาทจำเลยมีข้อมูลที่ปรากฏต่อสาธารณชน ที่ได้รับมาจากแหล่งข่าวซึ่งเป็นบุคคลสำคัญที่น่าเชื่อถือทั้งสิ้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตใจ ติชมด้วยความเป็นธรรมที่พึงกระทำได้ จึงไม่ผิดฐานหมิ่นประมาท

นอกจากนี้คำฟ้องของโจทก์ก็ขาดอายุความแล้ว เนื่องจากระบุในคำฟ้องว่าเหตุเกิดระหว่างวันที่ 27 ส.ค. 2542 จนถึงวันฟ้องวันที่ 12 เม.ย. 2543 โจทก์ไม่เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนภายใน 3 เดือน นับแต่วันที่พบการกระทำผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิดแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จึงพิพากษายกฟ้อง


อ้างอิง : http://rabob.tripod.com/daily504.htm

คดีที่สอง


เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.ว่า ศาลได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีที่ พระราชภาวนาวิสุทธิ์ หรือ "พระธัมมชโย" อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย โดย พระภาณุมาศ ภาณุปาโณ ผู้รับมอบอำนาจ และ นางนงค์เยาว์ ปิ่นจันทร์ ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายมาณพ พลไพรินทร์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา แจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน ตามฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 5 เม.ย.43 ระบุความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 21 พ.ค.42 จำเลยได้เขียนข้อความหรือบทความอันเป็นเท็จทำนองว่า ระหว่างปี 35-42 โจทก์ในฐานะเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ได้โอนที่ดินจำนวน 1,749 ไร่ บริเวณ อ.หนองเสือ จ.ปทุมธานี ที่มีผู้บริจาคให้แก่วัดพระธรรมกายมาเป็นของตนเอง ทั้งที่ความจริงแล้วที่ดินดังกล่าวโจทก์ที่ 2 มีจิตศรัทธามอบให้เป็นการส่วนตัว นอกจากนี้จำเลยยังมอบหนังสือดังกล่าวให้แก่เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี โดยที่จำเลยไม่ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและยังได้เผยแพร่ต่อสื่อมวลชนอีก การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียง จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามความผิดด้วย

คดีนี้ศาลได้ทำการไต่สวนมูลฟ้องโจทก์มาโดยตลอดจนเสร็จสิ้นแล้วเห็นว่า การที่โจทก์ที่ 2 ยกที่ดินให้โจทก์ที่ 1 แต่ได้จดทะเบียนเป็นการซื้อขายกันเมื่อวันที่ 8 ก.ย.35 ต่อมาจำเลยซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคณะอนุกรรมการดำเนินการด้านวินัยได้ทำหนังสือถึงเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีเรื่อง พระสังฆาธิการละเมิดพระธรรมวินัย กล่าวหาว่า โจทก์ที่ 1 โอนที่ดินที่มีผู้บริจาคให้วัดพระธรรมกายมาเป็นของตนเอง ซึ่งเป็นการละเมิดพระธรรมวินัย ต่อมาสื่อมวลชนได้นำเสนอข่าวนี้ อย่างไรก็ตามโจทก์ที่ 1 เคยมีหนังสือถึงกรมการศาสนาแสดงเจตนาที่จะโอนที่ดินจำนวนดังกล่าวให้แก่วัด พร้อมกับตั้งตัวแทนเข้าหารือกับกรมการศาสนา ต่อมากลับแจ้งว่าขอให้ดำเนินการตามกระบวนการของศาลสงฆ์ก่อนจึงจะโอนที่ดินให้ นอกจากนี้พระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชฯ ก็เสนอแนะว่า โจทก์ที่ 1 จะต้องมอบสมบัติทั้งหมดในขณะเป็นพระให้แก่วัดทันที พฤติการณ์ของโจทก์ที่ 1 สื่อมวลชนจึงนำมาเสนอเป็นข่าวทำนองว่า โจทก์ที่ 1 ยักยอกทรัพย์ที่ดินของวัด จนมีการนำเรื่องเสนอเข้าที่ประชุมมหาเถรสมาคม และสมเด็จพระสังฆราชฯก็มีพระลิขิตด้วยว่า การไม่ยอมคืนสมบัติทั้งหมดแก่วัดขณะที่เป็นพระก็แสดงชัดเจนว่า ต้องอาบัติปาราชิก แต่ในที่สุดก็ไม่มีการโอนที่ดินให้แก่วัด เป็นการสื่อชวนให้เกิดความรู้สึกนึกคิดโดยสุจริตใจว่า โจทก์เบียดบังที่ดินของวัด

การกระทำของจำเลยถือว่าเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติตามหน้าที่โดยสุจริตใจ เพื่อปกป้องพระพุทธศาสนาและทรัพย์สินของวัดเป็นสำคัญ ไม่ใช่เป็นการกลั่นแกล้งใส่ความโดยไม่มีมูล และไม่ปรากฏว่าจำเลยมีสาเหตุโกรธเคืองกับโจทก์ทั้งสองมาก่อน คดีโจทก์จึงไม่มีมูลที่จะเอาผิดกับจำเลยได้ พิพากษายกฟ้อง

อ้างอิง : http://rabob.tripod.com/daily505.html

จากคุณ : ราชมัล
เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 17:02:09




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com