ธัมมชโยและทัตตชีโว สะสมสาวกเพื่อความมั่งคั่งเพื่อการสะสมเพื่อการร้อยรัดและแอบอ้างอุตตริมนุสสธรรม
ผมเสนอข้อมูลดังนี้
อุตตริมนุสสธรรมสิกขาบทที่๔ ความว่า ภิกขุใดไม่ตรัสรู้เลยเป็นคนมุ่งลาภมุ่งความสรรเสริญ อวดอุตตริมนุสสธรรม(ธรรมเหนือปุถุชนคนมีกิเลส) ซึ่งเป็นเครื่องรู้เครื่องเห็นแห่งพระอริยเจ้า อันสามารถน้อมเข้ามาในตนด้วยความเท็จว่า เรารู้เราเห็นอุตตริมนุสธรรมอย่างนี้ๆ ด้วยกายหรือวาจา หรือทั้งกายวาจา แก่ผู้อื่นเป็นชาติมนุษย์ เขารู้ความในขณะนั้น ภายหลังจะมีผู้ซักไซ้ก็ตาม เขาจะไม่ซักไซ้ก็ตาม เธอต้องปาราชิกเสียแล้วแต่ในขณะอวดนั้น แม้เธอประสงค์ความบริสุทธิ์คือเป็นคฤหัสถ์เป็นต้นและจะกลับปฏิญญาว่า ข้าไม่รู้ไม่เห็นดอก แกล้งพูดว่ารู้เห็น ข้าพูดเท็จพูดปดดังนี้ (พูดเล่นๆ) ก็ไม่พ้นโทษ
อุตตริมนุสสธรรมเป็นธรรมแห่งมนุษย์อันยิ่ง คือ มหัคคตธรรมและโลกุตตรธรรม
เหล่านี้เป็นมหัคคตธรรม รูปฌาณ๔คือ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน อรูปฌาน๔ คือ อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ และวิชชา๖ คือ มโนมยิทธิญาณ อิทธิคือนิรมิตกายอื่นออกจากกายตน อิทธิวิธิญาณ ความรู้แผลงอิทธิฤทธิ์ต่างๆ ทิพพโสตญาณ ความรู้ให้หูทิพย์เกิดขึ้น เจโตปริยญาณ ญาณที่กำหนดรู้จิตผู้อื่น ปุพเพนิวาสญาณ ญาณระลึกชาติหนหลังได้ จุตูปปาตญาณ ญาณรู้จุติปฏิสนธิ
เหล่านี้เป็นโลกุตตรธรรม โสตาปัตติมรรค โสตาปัตติผล สกทาคามีมรรค สกทาคามีผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตมรรค อรหัตผล พระนิพพาน
พระไตรปิฎกบาลีไทย เล่มที่ ๑
วินย. มหาวิภงฺโค ข้อ ๒๒๙
[๒๒๙] วิครหิ พุทฺโธ ภควา อนนุจฺฉวิก โมฆปุริสา อนนุโลมิก
อปฺปฏิรูป อสฺสามณก อกปฺปิย อกรณีย กถ หิ นาม ตุเมฺห
โมฆปุริสา อุทรสฺส การณา คิheน อฺมฺสฺส อุตฺตริมนุสฺสธมฺมสฺส
วณฺณ ภาสิสฺสถ วร ตุเมฺหหิ โมฆปุริสา ติเณฺหน
โควิกนฺตเนน ๑- กุจฺฉิปริกนฺโต น เตฺวว อุทรสฺส การณา คิheน
อฺมฺสฺส อุตฺตริมนุสฺสธมฺมสฺส วณฺโณ ภาสิโต ต กิสฺส
เหตุ ตโตนิทาน หิ โมฆปุริสา มรณ วา นิคจฺเฉยฺย มรณมตฺต
วา ทุกฺข น เตฺวว ตปฺปจฺจยา กายสฺส เภทา ปร มรณา
อปาย ทุคฺคตึ วนิปาต นิรย อุปปชฺเชยฺย อิโตนิทานฺจ โข
โมฆปุริสา กายสฺส เภทา ปร มรณา อปาย ทุคฺคตึ วินิปาต
นิรย อุปปชฺเชยฺย เนต โมฆปุริสา อปฺปสนฺนาน วา ปสาทาย
ปสนฺนาน วา ภิยฺโยภาวาย ฯเปฯ วิครหิตฺวา ธมฺมึ กถ กตฺวา
ภิกฺขู อามนฺเตสิ ฯ
[๒๒๙] พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆะบุรุษทั้งหลาย การกระทำของ พวกเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ดูกรโมฆบุรุษ ทั้งหลาย ไฉนพวกเธอจึงได้กล่าวชมอุตตริมนุสสธรรมของกันและกันแก่พวกคฤหัสถ์ เพราะเหตุ แห่งท้องเล่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ท้องอันพวกเธอคว้านแล้วด้วยมีดเชือดโคอันคม ยังดีกว่า อันพวกเธอกล่าวชมอุตตริมนุสสธรรมของกันและกันแก่พวกคฤหัสถ์เพราะเหตุแห่งท้อง ไม่ดีเลย ข้อที่เราว่าดีนั้น เพราะเหตุไร เพราะบุคคลผู้คว้านท้องด้วยมีดเชือดโคอันคมนั้นพึงถึงความตาย
หรือความทุกข์เพียงแค่ตาย ซึ่งมีการกระทำนั้นเป็นเหตุ และเพราะการกระทำนั้นเป็นปัจจัย เบื้องหน้าแต่แตกกายตายไป ไม่พึงเข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต นรก ส่วนบุคคลผู้กล่าวชมอุตตริ มนุสสธรรมของกันและกันแก่พวกคฤหัสถ์นั้น เบื้องหน้าแต่แตกกายตายไป พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ซึ่งมีการกระทำนี้แลเป็นเหตุ ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย การกระทำของ พวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่ง ของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้ การกระทำของพวกเธอนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใส ของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของคนบางพวกผู้เลื่อมใสแล้ว ครั้นแล้ว
ทรงกระทำธรรมมีกถารับสั่งกะภิกขุทั้งหลาย ว่าดังนี้:-
[๒๓๑] อถโข ภควา วคฺคุมุทาตีริเย ภิกฺขู อเนกปริยาเยน
วิครหิตฺวา ทุพฺภรตาย ทุปฺโปสตาย ฯเปฯ เอวฺจ ปน ภิกฺขเว
อิม สิกฺขาปท อุทฺทิเสยฺยาถ โย ปน ภิกฺขุ อนภิชาน อุตฺตริมนุสฺสธมฺม
อตฺตูปนายิก อลมริยาณทสฺสน สมุทาจเรยฺย อิติ ชานามิ
อิติ ปสฺสามีติ ตโต อปเรน สมเยน สมนุคฺคาหิยมาโน วา
อสมนุคฺคาหิยมาโน วา อาปนฺโน วิสุทฺธาเปกฺโข ๑- เอว วเทยฺย
อชานเมว อาวุโส อวจ ชานามิ อปสฺส ปสฺสามิ ตุจฺฉ มุสา
วิลปินฺติ อยมฺปิ ปาราชิโก โหติ อสวาโสติ ฯ เอวฺจิท ภควตา
ภิกฺขูน สิกฺขาปท ปฺตฺต โหติ ฯ
[๒๓๑] ครั้นพระผู้มีพระภาคทรงติเตียนภิกษุพวกฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา โดยอเนกปริยาย แล้ว ตรัสโทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความ เป็นคนไม่สันโดษ ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความ เป็นคนบำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสมแก่เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำนาจ ประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่ม บุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดใน ปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่ เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่อถือตามพระวินัย ๑ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระปฐมบัญญัติ
๔. อนึ่ง ภิกษุใด ไม่รู้เฉพาะ กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม อันเป็นความรู้
ความเห็น อย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้ามาในตนว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้
ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ ครั้นสมัยอื่นแต่นั้น อันผู้ใดผู้หนึ่ง ถือเอาตามก็ตาม ไม่ถือเอา
ตามก็ตาม เป็นอันต้องอาบัติแล้ว มุ่งความหมดจด จะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า แน่ะท่าน
ข้าพเจ้าไม่รู้อย่างนั้น ได้กล่าวว่ารู้ ไม่เห็นอย่างนั้น ได้กล่าวว่าเห็น ได้พูดพล่อยๆ
เป็นเท็จเปล่าๆ แม้ภิกษุนี้ ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้
สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลายด้วยประการ
ฉะนี้ ฯ