หลังอาหารเย็นของวันนั้น นักศึกษาทั้งหมดพากันทยอยเดินขึ้นรถโค้ชบัสที่โดยสารมาเพื่อกลับกรุงเทพ ตรีภูมิกล่าวขอบอกขอบใจเจ้าของสถานที่เป็นการใหญ่ โดยมีมิรันตีเป็นตัวแทนมอบของขวัญที่ระลึกแทนน้ำใจในครั้งนี้ด้วย วิมุตติยิ้มรับตามมารยาทไม่ได้สนใจสายตาหวานหยาดเยิ้มที่จ้องมองมาเลย ส่วนเจ้าภูวิษะนั้นไม่ได้มาร่วมล่ำลาคนอื่นๆ เพียงแต่ใช้สายตาส่งหญิงสาวเงียบๆ บนชานเรือนนั้น
"พี่เจ้าคะ...แอนชอบที่นี่มากเลยทั้งเงียบสงบ ทั้งวิวสวย ติดใจ๊...ติดใจ วันหลังขอมาพักอีกได้ไหมคะ? " เจ้าหล่อนจงใจทิ้งไมตรีอย่างไม่ปิดบัง ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มไม่ตอบรับไม่ปฏิเสธ
"แม่คุณเขาไม่ได้เปิดเป็นรีสอร์ทให้พักนะเฟ้ย!!" ครั้งนี่ก็เป็นตรีภูมิอีกตามเคยที่ขัดคอหล่อนขึ้นมา
"แอนรู้แล้วล่ะค่ะ...แต่แอนขอพี่เจ้าเป็นกรณีพิเศษต่างหาก...ได้ไหมคะ ? " ท้ายประโยคหล่อนหันไปอ้อนเขา
"ถ้าผมอยู่ที่ไร่นะครับ....ไม่อย่างนั้นคงไม่มีใครอยู่รับรอง"
"ได้เลยค่ะ แอนจะโทรมาก่อนนะคะ ว่าแต่...แอนยังไม่รู้เบอร์พี่เจ้าเลย"
มิรันตีควักมือถือขึ้นมาทันที หญิงสาวคิดว่าหล่อนขอเบอร์โทรของเขาได้อย่างแนบเนียน และไม่แสดงออกจนเกินงามนัก แต่อะไรก็ไม่เป็นไปดังคาดเมื่อวิมุตติตอบกลับมา
"ผมไม่มีมือถือ"
"หา? อย่ามาอำกันเลยค่ะ แอนไม่เชื่อหรอก..."
หล่อนยังไม่ยอมแพ้ก็ยุคนี้มือถือแทบจะเป็นปัจจัยที่ห้าไปแล้วด้วยซ้ำ แล้วผู้ชายรูปหล่อฐานะร่ำรวยอย่างเขาน่ะหรือ จะไม่มีแค่มือถือเครื่องเชียว
"ก็อยู่บนภูเขา...ไม่รู้จะโทรหาใครนี่ครับ" เขาตอบหน้าตาเฉยในขณะที่หล่อนทำหน้าไม่เชื่อถือ
"จริงๆ ยัยแอนหาตัวมันยากจะตาย จะโทรหานี่ต้องโทรเข้าบ้าน แล้วกว่าจะไปแงะตัวมันออกจะท่อมน้อยปลายน้ำของมัน ให้มารับโทรศัพท์ที่เรือนใหญ่ได้นี่ รอไปอีกชั่วโมงเถอะ" ตรีภูมิการันตีความล้าสมัยของเพื่อน
"เอ่อ...ถ้างั้นขอเบอร์ที่ไร่ได้ไหมคะ?"
"ยัยแอนเอ้ยอย่าเสี่ยงเลยเชื่อพี่เถอะ ถ้าเสด็จพ่อมันรับสายขึ้นมาจะถูกซักฟอกจนตัวพรุนเชียวนะ" หญิงสาวยิ่งฟังก็ยิ่งไม่แน่ใจว่ากำลังถูกรุ่นพี่อำเข้าให้หรือเปล่า จึงหันไปส่งสายตาถามเอากับเจ้าของไร่
"ไม่ขนาดนั้นสักหน่อย...เพียงแต่พ่อท่านไม่ค่อยชอบคนแปลกหน้า ถ้าโทรมาครั้งแรกก็โดนซักถามมากหน่อย" มิรันตีฟังแล้วชักหวั่นใจจึงลดมือถือลง ไม่กล้ารบเร้าเขามากไปกว่านี้แล้ว
"งั้นถ้าซื้อมือถือแล้วอย่าลืมให้เบอร์กับแอนเป็นคนแรกนะคะพี่เจ้า" หล่อนยังหยอดทิ้งท้ายได้หวานหยดตามเคย
"เอาล่ะลากันพอละ...ไปก่อนนะไอ้เจ้า แอนขึ้นรถได้แล้วเดี๋ยวก็ปล่อยทิ้งไว้นี่เสียหรอก" มิรันตีทำท่าแง่งอนและบ่นอุบอิบก่อนจะเดินไปขึ้นรถแต่โดยดี
ในขณะที่เคียงฟ้าซึ่งเป็นกรรมการรุ่นและควบตำแหน่งเหรัญญิกไปในตัว กำลังเช็คข้าวของที่ท้องรถเมื่อครบทุกอย่าง แล้วจึงค่อยก้าวขึ้นรถไปเป็นคนสุดท้าย ก่อนจะไปหล่อนหันกลับมายกมือไหว้วิมุตติ แต่ไม่วายเหลียวขึ้นไปมองคนที่ยืนอยู่บนเรือนชานนั้น หญิงสาวเห็นใบหน้าเฉยชาไม่ยินดียินร้อนของครู่อริรูปงาม ก็เชิดหน้าใส่บ้างและเดินขึ้นรถไป
วิมุตติเห็นแล้วต้องส่ายศีรษะให้กับกิริยาของคนทั้งสอง จนเผลอถอนหายใจออกมาด้วยความอ่อนละอา ขณะเดียวกันนั่นเองสายตาก็เหลือบแลไป เห็นเงาร่างสตรีผมยาวสลวยปล่อยยาวลงมาเกือบถึงปั้นเอว รูปทรงอรชรงามระหงในชุดผ้านุ่งยกดอกทอมือสีหมากสุกอวดเอวเปลือยคอดกิ่ว ท่อนบนนั้นพันผ้าแถบชิ้นเล็กสีเดียวกันแต่ปราศจากลายมัดตรึงทรวงอกกลมกลึง สีผ้านุ่งที่หุ้มห่มอยู่นั้นขับผิวที่เคยนวลผ่องแต่บัดนี้ซีดขาวจนน่ากลัวราวไม่มีเลือดหล่อเลี้ยง ให้เรืองรองเด่นชัดขึ้นในแสงสลัวจากดวงอาทิตย์ที่กำลังลับเหลี่ยมเขา
ดวงหน้าสตรีนางนั้นงดงามปานนางอัปสรามาจุติ ทว่าแววตานั้นกลับเรืองโรจน์ไปด้วยกองเพลิงร้อนทอแสงอยู่ภายใน วิญญาณหญิงงามหันมาจ้องมองชายหนุ่มแวบหนึ่งก็ก้าวขึ้นรถตามเคียงฟ้าไป วิทยาธรเทพตระหนักว่าตนเองมิได้ตาฝาดไปจึงนิ่งอึ้งไปด้วยความหวั่นใจ
จะมีสิ่งใดเกิดขึ้นอีกหนอ
หรือเวลาแห่งการทวงหนี้กรรมได้เริ่มขึ้นแล้ว...
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++