เสียงลูกจ้าง ดีใจขึ้นค่าแรง แต่...สินค้าแพงทั้งแผ่นดิน
เสียงลูกจ้างครวญ...ดีใจขึ้นค่าแรง แต่สินค้าแพง-ไม่พอเลี้ยงชีพ โชคชะตาแรงงานไทย บ้างถูกละเมิดสิทธิซ้ำแล้วซ้ำเล่า บ้างไร้หลักประกันสังคม
แม้ว่าการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้น 40% ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. ที่ผ่านมา จะทำให้แรงงานมีรายได้สูงขึ้นจากเดิม โดยเฉพาะลูกจ้างใน 7 จังหวัด ได้แก่ กทม. สมุทรสาคร สมุทรปราการ นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี และภูเก็ต ที่ได้ค่าจ้างเป็นวันละ 300 บาท แต่ก็ยังพบว่าหลายคนยังไม่ได้รับประโยชน์จากค่าจ้างที่ปรับขึ้นเท่าที่ควร เพราะค่าครองชีพมันกลับพุ่งสูงขึ้นตามการปรับค่าจ้าง โดยเฉพาะราคาสินค้าอุปโภคบริโภค แทนที่แรงงานจะมีกำลังซื้อมากขึ้น แต่กลับซื้อของได้น้อยลง หรือเรียกอีกอย่างว่าเงินมันเฟ้อนั่นเอง
มีรายงานข่าวแจ้งว่าในเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ที่อัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่มีการปรับเพิ่มขึ้น 40% ในทุกจังหวัดนั้น สถานประกอบการหลายแห่ง ได้มีการประกาศที่จะคุมค่าใช้จ่าย โดยจะไม่มีการทำโอทีมากเหมือนในอดีต และบ้างมีการประกาศลดสวัสดิการเดิมที่มีอยู่ ขณะที่หลายแห่งไม่ได้แจ้งต่อลูกจ้างว่าจะมีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ทำให้แรงงานรู้สึกกังวล เกรงว่าจะไม่ได้ค่าจ้างอัตราใหม่
สุรินทร์ พิมพา วัย 55 ปี พนักงานฝ่ายผลิตรายวัน บริษัทนครหลวงถุงเท้าไนลอน จำกัด จ.นครปฐม บอกว่า ทำงานมานาน 18 ปี เดิมได้ค่าจ้างวันละ 235 บาท ตอนนี้ได้ปรับขึ้นอีกวันละ 65 บาท รวมเป็นวันละ 300 บาท และได้ค่าครองชีพเดือนละ 270 บาท รวมแล้วได้เดือนละ 9,270 บาท
แต่ละเดือนเธอมีค่าใช้จ่าย เช่น ค่าใช้จ่ายส่วนตัว 3,000 บาท ช่วยเหลือพี่สาวที่ป่วยเดือนละ 4,000 บาท จ่ายดอกเบี้ยร้อยละ 5 เงินกู้นอกระบบ 20,000 บาท โดยจ่ายในทุก 15 วัน และยังมีหนี้อีก 1 แสนบาท ซึ่งเจ้าหนี้ใจดีไม่คิดดอกเบี้ย
ได้ค่าจ้างวันละ 300 บาทคิดว่าไม่คุ้ม เพราะข้าวของขยับขึ้นนำหน้าไปล่วงหน้าแล้ว ค่าอาหารการกิน ค่าไฟฟ้า ค่ารถแพงขึ้น ก็ปรับตัวด้วยการใช้จ่ายอย่างประหยัดให้มากที่สุด รัดเข็มขัดเต็มที่ ซื้อผักกินมากกว่าซื้อเนื้อหมู ไก่กิน ถ้าซื้อก็ซื้อเนื้อหมู ไก่เป็นขีด ไม่ซื้อเป็นกิโล จะประหยัดกว่า ข้าวของ เสื้อผ้าอะไรที่ไม่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่ซื้อ ยิ่งต้องประหยัดกว่าเดิม
เธออยากให้รัฐบาลคุมราคาสินค้าต่างๆ และจ่ายค่าครองชีพแก่แรงงานที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมต้องหยุดงานโดยตรงรายละ 2,000 บาท
ขณะที่ เยาวเรศ ชัยศรี วัย 38 ปี พนักงานฝ่ายผลิตบริษัท ไพรบ๊อกซ์เอ็ม เอฟจี จำกัด ซึ่งผลิตกล่องไม้ใส่นาฬิกาส่งออกต่างประเทศใน อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ บอกว่า เดิมได้ค่าจ้างวันละ 260 บาท ขณะนี้ได้ปรับเพิ่มเป็นวันละ 316 บาทได้ขยับเพิ่มสูงกว่าวันละ 300 บาทเพราะทำงานมานานถึง 16 ปี จึงได้เงินเดือนๆ ละ 9,480 บาท ค่าครองชีพ 390 บาท และค่าเบี้ยขยันเดือนละ 250 บาท รวมทั้งทำโอทีวันละ 3 ชั่วโมง ได้ชั่วโมงละ 61 บาท รวมแล้วมีรายได้เดือนละกว่า 1 หมื่นบาท แต่ก็มีค่าใช้จ่ายมากมาย เช่น ค่าเช่าห้องเดือนละ 2,500 บาท ค่าผ่อนรถปิกอัพร่วมกับสามีเดือนละ 7,500 บาท ค่าเล่าเรียนของลูกที่เรียนชั้นประถม
"ดีใจที่ได้รับค่าจ้างวันละ 300 บาท แต่อยากให้รัฐบาลดูแลราคาสินค้าไม่ให้ขยับขึ้นมากไปกว่านี้เพราะถ้าขยับขึ้นมาอีก คงรับภาระค่าใช้จ่ายไม่ไหวแน่อย่างตอนนี้ลูกขึ้นชั้น ป. 3 แม้รัฐบาลมีนโยบายเรียนฟรี 15 ปีแจกนักเรียน แต่เปิดเทอม ก็ต้องซื้อเพิ่มอีก 3 ชุดและยังมีชุดอื่นๆ เช่น ชุดพละ และต้องปรับตัวด้วยการประหยัดค่าใช้จ่าย เช่น ไก่ หมู ก็จะไปซื้อในห้าง หลังเลิกทำโอทีตอน 3 ทุ่มกว่าเพราะราคาถูกกว่าปกติครึ่งหนึ่ง ส่วนเสื้อผ้า ของอะไรที่ไม่จำเป็นก็ไม่ซื้อ"
ส่วน วิษณุ มะลิวัลย์ วัย 37 ปี พนักงานฝ่ายผลิตบริษัท อุตสาหกรรมผลิตยางไทยสิน จำกัด จ.สมุทรสาคร บอกว่า ทำงานมาเป็นเวลา 14 ปีแล้ว เห็นด้วยกับการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 บาท เพราะปัจจุบันค่าครองชีพปรับตัวสูงขึ้น ทั้งเครื่องอุปโภคบริโภคและรายจ่ายอื่นๆ เช่น ค่าน้ำมัน ค่าไฟฟ้า ค่าอาหาร
ก่อนที่จะมีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท วิษณุ ได้รับค่าจ้าง 245 บาทต่อวัน และมีภาระค่าใช้จ่ายต่อเดือน ได้แก่ ค่าผ่อนบ้านเอื้ออาทร 2,600 บาท ต่อเดือน ค่าผ่อนรถมอเตอร์ไซค์ 1,680 บาทต่อเดือน ค่าน้ำมันรถเดือนละ 400 บาท
"การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท สำหรับคนโสดถือว่าคุ้ม แต่คนที่มีครอบครัว จะต้องแบกรับภาระอย่างมาก เพราะต้องดูแลคนในครอบครัวหลายชีวิต"วิษณุกล่าว
มาลิน ตุ้ม แรงงานข้ามชาติสัญชาติกัมพูชา กล่าวว่า เพื่อนคนงานที่เป็นแรงงานข้ามชาติได้มีการพูดคุยและคาดหวังที่จะได้รับการปรับค่าจ้างขั้นต่ำอัตราใหม่ ที่แต่ละจังหวัดจะมีการปรับเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 40% โดยอยากให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างในอัตราใหม่ตามที่กระทรวงแรงงานประกาศใหม่ แต่อีกหลายๆ คนไม่ได้คาดหวังที่จะได้รับค่าจ้างในอัตราใหม่ที่เท่ากับคนงานไทย
บัณฑิต แป้นวิเศษ เครือข่ายปฏิบัติการเพื่อแรงงานข้ามชาติ กล่าวว่า องค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานด้านแรงงานข้ามชาติร่วม 10 องค์กรอยากเรียกร้องรัฐบาลแทนกลุ่มแรงงานข้ามชาติ เพื่อให้แรงงานข้ามชาติได้รับการคุ้มครองสิทธิแรงงานเท่าเทียมกับแรงงานไทย โดยไม่ถูกเลือกปฏิบัติ ทั้งเรื่องค่าจ้าง สวัสดิการ รวมถึงระบบประกันสังคม
"รัฐต้องมีมาตรการบังคับใช้ค่าจ้างขั้นต่ำที่ครอบคลุมกลุ่มแรงงานข้ามชาติ เนื่องจากมักพบว่าแรงงานข้ามชาติได้รับค่าจ้าง สวัสดิการที่ต่ำกว่าแรงงานไทย"
นอกจากนี้ ขอให้รัฐบาลมีการยกเลิกกฎกระทรวงแรงงาน ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานที่ยกเว้นไม่บังคับใช้กับแรงงานบางกลุ่ม เช่น แรงงานประมง แรงงานภาคเกษตร คนรับใช้ในบ้าน ส่งผลให้แรงงานที่ทำงานในกิจการดังกล่าวไม่ได้รับการคุ้มครองในเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำ วันหยุด เงินชดเชย สัญญาจ้างงาน และสิทธิอื่นๆ
"แรงงานจำนวนมากถูกละเมิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเข้าไม่ถึงกลไกการคุ้มครองสิทธิ และบางเรื่องพบว่าระเบียบของหน่วยงานรัฐ กลับกลายเป็นอุปสรรค ขัดขวางไม่ให้แรงงานข้ามชาติได้เข้าถึงสิทธิประโยชน์โดยเฉพาะเรื่องสิทธิทางด้านสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุบัติเหตุจากการทำงาน ในกรณีที่แรงงานข้ามชาติไม่ได้เข้าสู่ระบบประกันสังคม"บัณฑิตกล่าว
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/life/20120501/449581/เสียงลูกจ้างดีใจขึ้นค่าแรง-แต่...สินค้าแพง.html