ตอนที่สามแล้ว อันนี้ครึ่งแรกค่ะ ถ้าคนแปลยังไม่หลับหัวโขกคอมไปก่อน เดี๋ยวอีกครึ่งจะตามมา... เมื่อไหร่ไม่รู้ อิยะฮะฮ่าๆๆ
[Trans Op-ed] บทบรรยายเรื่องเครื่องสำอางค์ ตอนที่ 3: ความล้าหลังทางจิตใจ ทางสังคมและทางศีลธรรมไป 3,000 ปี
A Cosmetic(s) Discourse, Part III: Psychological, Social and Moral Retardation by 3000 Years
Written by: Jimmie of TheJYJFiles
Shared by: TheJYJFiles
แปลไทย: ลูกแก้วใสกิ๊งระริ๊ง (walking along with JYJ @ pantip)
[T/N ลูกแก้ว: มีการอ้างถึงนักจิตวิทยาจากตอนที่หนึ่งที่ชื่อว่าโคลเบิร์ก แต่ตอนนี้กลายเป็นโคลเลอร์แล้วค่ะ สับสนแล้วว่าตกลงชื่ออะไรกันแน่ ส่วน legal jargon บางคำที่ทิ้งไว้เป็นภาษาละตินนี่ก็เพราะไม่สามารถหาคำแปลมาได้จริงๆ ค่ะ แต่ก็มีคำอธิบายขยายอยู่ด้านหลังแล้ว]
บทบรรยายเรื่องเครื่องสำอางค์ ตอนที่ 3:
ความล้าหลังทางจิตใจ ทางสังคมและทางศีลธรรมไป 3,000 ปี
ในตอนที่หนึ่งและตอนที่สอง เราได้ทำลายโครงสร้างและปัดทิ้งทั้งรูปแบบและเนื้อหาของแก่นคำโต้เถียงจากบทบรรยายเรื่องเครื่องสำอางค์ - ว่าการที่สมาชิกทั้งสามเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจเครื่องสำอางค์เป็นธุรกิจเสริมนั้นทำให้การเกิดแยกกันของวงดงบังชินกิ ณ จุดนี้ ดูเหมือนว่าแม้กระทั่งบทบรรยายและผู้ที่สนับสนุนบทบรรยายนี้ยังทราบดีถึงความอ่อนทางตรรกะและการจูงใจด้วยเรื่องศีลธรรมกลวงๆ บนพื้นฐานเรื่อง "คุณค่าตราสินค้า" ก็คงทำได้อีกไม่นานนัก ดังนั้นเมื่อมาถึงตอนนี้ บทบรรยายพยายามจะหยิบยกการโต้เถียงทางศีลธรมย่อยขึ้นมาอีกประเด็นหนึ่ง ต้องให้เครดิตว่ามันเป็นคำโต้เถียงที่สามารถยกระดับให้บทบรรยายอยู่ในขั้นที่สามและ (นานๆ ที) อยู่ในขั้นที่สี่ของทฤษฐีการพัฒนาศีลธรรมจรรยา 6 ขั้นของโคลเลอร์ แต่ก็ยังทำให้มนุษยชาตินั้นล้าหลังไปประมาณ 3,000 ปี
นัยยะแห่งความยุติธรรมที่ถูกบิดเบือน
บทบรรยายเรื่องเครื่องสำอางค์หาเหตุผลมาตีตราสมาชิกของวง JYJ ในฐานะของคนทรยศ ด้วยแนวคิดที่ว่า 'สัญญาจ้างคือคำสัญญา' จริงๆ แล้วมันคือการสนับสนุนความคิดที่ว่าสัญญาจ้างเป็นตัวแทนของคำสัญญาที่ศักดิ์สิทธิ์ การทำตามสัญญาดังกล่าวจะการันตีว่าสังคมจะดำเนินไปได้อย่างมั่นคง; ดังนั้น การทำตามสัญญากลายเป็นคำที่มีความหมายเดียวกับเกียรติยศ ความรับผิดชอบและความยุติธรรม ด้วยวิธีการนี้ บทบรรยายถูกออกแบบมาให้จูงใจคนที่มีการพัฒนาทางศีลธรรมจรรยาไปถึงขั้นที่สามหรือขั้นที่สี่ หรือรู้จักกันในชื่อว่า "ระดับปฏิบัตินิยม" - เพื่อคนที่เชื่อว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกคนจะทำตามบทบาททางสังคมของตนเพื่อจะรักษาให้สังคมดำเนินอยู่ได้ เพื่อคนที่ถืออ้างความสำคัญของอำนาจและกฎเกณฑ์ และเพื่อคนที่เชื่อว่า "ถ้าใครคนใดละเมิดกฎหมาย บางทีทุกคนอาจจะทำเหมือนกัน" และดังนั้นจึงถือว่า "ข้อบังคับ" "หน้าที่" และ "อำนาจ" เป็นคำสำคัญเงินล้านในเกมโชว์วงล้อแห่งโชคชะตา
เมื่อถูกจูงใจโดยคำกล่าวอย่างนั้น บทบรรยายเรื่องเครื่องสำอางค์ยัดเยียดคำโถ้เถียงที่ว่าจะต้องทำตามสัญญาทุกฉบับหรือสัญญาใดๆ ตามตัวอักษรทุกตัว สัญญาจ้างที่เซ็นต์แล้วจะต้องไม่ถูกละเมิดไม่ว่าจะโดยฝ่ายใดและไม่ว่าจะในสถานการณ์ใดๆ ก็ตาม เพื่อจะชี้ประเด็นนี้ บทบรรยายได้กล่าวถึงคุณค่าทางศีลธรรมคำว่า 'เกียรติยศ' 'ความรับผิดชอบ' และ 'การทำตามสัญญา' อย่างเกินจริงไปพร้อมๆ กันและทำให้เนื้อความในสัญญาจ้างของดงบังชินกินั้นดูด้อยค่าลงไป
ในทางหนึ่ง บทบรรยายไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเลือกใช้กลยุทธและวาทะศิลป์เกินจริงเช่นนี้เพราะทั้งกฎหมายเกาหลีและกฎหมายนานาประเทศไม่ได้อยู่ข้างเดียวกับบทบรรยายเลย ในความเป็นจริงแล้ว คงจะหาได้ยากที่จะมีที่ไหนบนโลกนี้มีระบบกฎหมายที่สนับสนุนความคิดที่ว่าต้องทำตามสัญญาไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม ในทางตรงข้าม กฎหมายเบ้หน้าใส่คำกล่าวเยี่ยงนั้นโดยการนำ 'หลักการของความไร้จิตสำนึก' มาอยู่ในกฎหมายว่าด้วยสัญญา เมื่อเงื่อนไขสัญญานั้นไม่เป็นธรรมต่อฝ่ายหนึ่งอย่างชัดเจนหรือขัดแย้งต่อจรรยาพื้นฐานและหลักการความเป็นธรรมในสังคม สัญญานั้นจะถูกเห็นว่าไร้จิตสำนึกและศาลสามารถตัดสินให้เป็นโมฆะและไม่มีผลบังคับใช้ได้ นี่เป็นพื้นฐานในการที่ศาลแขวงกรุงโซลได้ตัดสินให้สมาชิกทั้งสามของ JYJ ได้รับคำสั่งศาลชั่วคราวในการระงับผลของสัญญาจ้างระหว่างพวกเขากับบริษัท SM: ความเห็นเบื้องต้นของศาลคือว่าสัญญาจ้างนั้นไร้จิตสำนึก ตามประมวลกฎหมายแพ่งของเกาหลี มาตราที่ 103 (ว่าด้วยเรื่องการขัดต่อสังคม ขัดต่อกฎหมาย) หลักการของความไร้จิตสำนึกของสัญญาจ้างนั้นสอดคล้องกับทุกกฎหมายไปจนถึงกฎหมายนานาชาติ ที่สนธิสัญญาหรือความเห็นชอบจากนานาประเทศนั้นจะถือว่าเป็นโมฆะหรือไม่มีผลบังคับใช้โดยอัตโนมัติหากเรื่องดังกล่าวนั้นละเมิดหรือทำให้อีกฝ่ายละเมิดจริยธรรมเรื่อง jus cogens - ข้อห้ามต่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การทรมาน ความเป็นทาส ฯลฯ หรือเรื่อง erga omnes - สิทธิมนุษยชนที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกนั้นอยู่ในหมวดนี้เช่นกัน
ดังนั้น ระบบกฎหมายในยุคศตวรรษที่ 21 และระบบคุณค่าที่สนับสนุนไม่ได้ให้เครดิตกับคำกล่าวอ้างที่ว่าผู้หนึ่งผู้ใดต้องทำตามสัญญา แม้ว่าสัญญานั้นจะไม่เป็นธรรมอย่างชัดเจน เพื่อคำว่า "เกียรติยศ" หรือ "ความรับผิดชอบ" ซึ่งกลายเป็นความโง่เขลาและเลินเล่อที่ทำให้เกิดอันตราย การยืนยันว่าต้องทำตามสัญญาไม่ว่าจะในกรณีใดนั้นชี้ให้เห็นถึงการเกิดอาญาความนานาประเทศที่มีอยู่ในปัจจุบัน อย่างที่การค้ามนุษย์หรือการค้าทาสทางเพศได้แสดงให้เห็นแทบจะทุกคดี ถ้ามันเป็นจริงว่าสัญญาทุกอย่างจะต้องได้รับการปฎิบัติตาม เช่นนั้นแล้วสัญญาที่ร่างขึ้นโดยอาชญากรค้ามนุษย์ก็คงจะถือว่าถูกต้องและผู้ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์คงจะเป็นกลุ่มคนที่มีเกียรติยศสูงสุดบนโลกนี้