ความคิดเห็นที่ 1   อ่านย้อนหลัง      ตอนที่ 11 ตอนที่ 10    ตอนที่ 9   ตอนที่ 8    ตอนที่ 7    ตอนที่ 6 ตอนที่ 5   ตอนที่ 4   ตอนที่ 3    ตอนที่ 2    ตอนที่ 1     เพลย์ลิสต์ในยูทูป             แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 55 01:19:12 แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 55 00:44:25 แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 55 00:39:57 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 00:33:45

ความคิดเห็นที่ 2                 LEARNING ENGLISH เรียนภาษาอังกฤษ WITH กับ MISTERDUNCAN มิสเตอร์ดันแคน LESSON TWENTY FOUR บทที่ 24 Changing English           "You know the world of English คุณทราบไหม โลกของภาษาอังกฤษนั้น   is a fun and exciting place to be เป็นที่ที่สนุกสนานและน่าตื่นเต้น   I'm so glad that you could join me ผมแสนยินดี คุณได้ร่วมกับผม   for another lesson" อีกบทหนึ่ง LEARNING ENGLISH เรียนภาษาอังกฤษ WITH กับ MISTERDUNCAN มิสเตอร์ดันแคน LESSON TWENTY FOUR บทที่ 24 Changing English    Hi! Everybody... สวัสดีครับ! ทุกๆท่าน ...   This is Misterduncan in   England. นี้คือ Misterduncan ในแดนอังกฤษ   How are you today? คุณสบายดีมั๊ยครับวันนี้?   Are you OK? ... I hope so! คุณสบายดีมั๊ย? ... ผมก็ว่างั้น!   Are you happy? ... I hope so! คุณสุขสันต์ดีมั๊ย? ... ผมก็ว่างั้น!   In today' lesson. We will take a glance at some examples ในบทเรียนวันนี้ เราจะมาดูกันที่บางตัวอย่าง   of informal and some would say corrupted forms แบบไม่เป็นทางการ และบางคนอาจกล่าวว่าเป็นรูปที่ไม่ถูกต้องนัก   of English words and the language. ของคำภาษาอังกฤษต่างๆ และ(เป็นรูปที่ไม่ถูกต้องนัก)ของภาษา                   CHANGING ENGLISH    As we discussed in a previous lesson อย่างที่เราสนทนากันไปแล้วในบทก่อนหน้า   there are rules surrounding everything. มีกฏต่างๆอยู่รอบๆทุกสิ่งทุกอย่าง   Even the English language has its own set of rules. แม้กระทั่งภาษาอังกฤษ มีชุดกฏต่างๆของตัวมันเอง   However it is possible to break these rules sometimes อย่างไรก็ตาม มันเป็นไปได้ที่จะแหกกฏต่างๆเหล่านี้ บางที   and in the case of English, these rules are broken quite often... และในกรณีของภาษาอังกฤษ กฎต่างๆเหล่านี้ถูกแหกกฎอยู่บ่อยครั้งทีเดียว   when we use informal English. เมื่อเราใช้ภาษาอังกฤษอย่างไม่เป็นทางการ   Let's look at some examples of informal English มาดูกันที่บางตัวอย่างของภาษาอังกฤษอย่างไม่เป็นทางการกันครับ   and the way it is spoken. และวิธีพูดมัน(วิธีพูดประโยคไม่เป็นทางการเหล่านี้กัน)                         Examples of informal English.  ตัวอย่างต่างๆของภาษาอังกฤษอย่างไม่เป็นทางการ   "I'm going out tonight"                    =>  "I'm gonna go out tonight"      =>   ผมจะไปข้างนอกนะคืนนี้   "I've got to get home soon"               => "I gotta get home soon"      =>  ชั้นจะกลับบ้านเร็วๆนี้แหละ   "You are not coming to my party"    => "You ain't coming to my party"      =>  เธอไม่(กำลัง)มางานปาร์ตี้ชั้น   "You don't know me"                     =>  "You dunna know me"      =>  คุณไม่รู้จักผม   "I want to see you later"              =>  "I wanna see you later"       =>  ชั้นอยากพบเธอตอนหลัง   "I shan't be there"                          =>  "I shanna be there"       => ผมไม่ควรจะอยู่ที่นั่น   "I can't go to your party"              => "I canna go to your party"       => ชั้นไม่สามารถไปงานปาร์ตี้เธอ   Often these changes are due to local accents or dialect การเปลี่ยนแปลงต่างๆเหล่านี้ บ่อยครั้งเป็นไปตามสำเนียงท้องถิ่นต่างๆ หรือตามภาษาท้องที่ต่างๆ dialect //noun ภาษาถิ่น สำเนียงท้องถิ่น ภาษาพื้นเมือง   and sometimes they are due to habit. และบางครั้งก็ตามนิสัย(แนวทางการกระทำ)   As I said before in a previous lesson... อย่างที่ผมกล่าวไว้แล้วในบทก่อนหน้านะครับ   the rules of English are quite flexible กฏต่างๆของภาษาอังกฤษ ยืดหยุ่นทีเดียว   and clauses in both grammar and spelling are often changed. และ ส่วนของประโยคต่างๆ ในทั้งหลักภาษาและการสะกดต่าง(ก็)เปลี่ยนแปลงบ่อยๆ                    With the growth in popularity of mobile phones and the internet... ด้วยการเติบโตของจำนวนโทรศัพท์เคลื่อนที่และอินเตอเนต   the English language has been genty tempered to fit in with these modern innovations. ภาษาอังกฤษได้เข้ารับกับสิ่งประดิษฐ์สมัยใหม่เหล่านี้อย่างสอดคล้องลงตัวสมบูรณ์   The speed that text or SMS messages have to be written ความไวที่ข้อความหรือข้อความเอสเอ็มเอส ถูกพิมพ์   means that some words have been abbreviated or shortened. หมายถึงว่า บางคำต่างๆต้องถูกใช้เป็นตัวย่อ หรือถูกย่อให้สั้นลง   For example:...  สำหรับตัวอย่างนะครับ...   ''You'' becomes(กลายมาเป็น)...U.   "For'' becomes "4".   ''Could'' becomes...Cud.   "Tonight" becomes...2nite.   "See" becomes C.   "at" becomes...@.   " dinner" becomes "dnr".   So we can now write on our mobiles phones... ดังนั้น ตอนนี้เราสามารถพิมพ์บนโทรศัพท์เคลื่อนที่ของพวกเราได้ว่า   "Could I see you tonight for dinner at 7?" "ผมจะพบคุณคืนนี้สำหรับดินเนอร์ตอนทุ่มนึงได้มั๊ยครับ?"               Another good example of this change is the traditional use of capital letters อีกตัวอย่างที่ดีของการเปลี่ยนแปลงนี้คือการใช้ตัวอักษรตัวใหญ่ต่างๆแบที่เคยใช้ๆกันมา   at the beginning of sentences or nouns. ที่เริ่มต้นประโยคต่างๆหรือ(เริ่มต้น)คำนามต่างๆ   These days it is common to see that capital letters are not used at either the start of a sentence... ทุกวันนี้ มันธรรมดาที่จะพบว่าตัวอักษรตัวใหญ่ต่างๆไม่ได้ใช้ตอนเริ่มต้นแต่ละประโยคต่างๆ(อีกต่อไป)   or as the first letter of a proper noun. หรือ(ไม่ได้ใช้)เป็นตัวอักษรแรกของคำนามแสดงความเป็นเจ้าของ   You will see this often in commercial advertisements คุณจะพบเช่นนี้เสมอในโฆษณาเชิงพาณิชย์ต่างๆ   in magazines or even in movie and TV credits. ในนิตยสารต่างๆ หรือกระทั่งในภาพยนตร์ และ เครดิต(ใน)โทรทัศน์                     So clearly the English language can be altered and is constantly changing. ดั้งนั้น อย่างกระจ่างแจ้งชัดเจน(ว่า) ภาษาอังกฤษสามารถเปลี่ยนแปลง และเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องไม่หยุด   Some people feel annoyed at this and firmly believe that บางคนรู้สึกรำคาญกับเรื่องนี้และเชื่ออย่างชัดเจนว่า   the English language should not be touched or changed. ภาษาอังกฤษไม่ควรจะถูกแตะต้องหรือถูกเปลี่ยนแปลง   However it is worth remembering that during its thousand year development. อย่างไรก็ตาม มันควรค่าจดจำว่า ระหว่างการพัฒนาเป็นพันปีของมัน   The English language has undergone many drastic changes. ภาษาอังกฤษได้(มีการ)เปลี่ยนแปลงต่างๆ(ใน)ระดับรุนแรงมากมาย   Nowadays with new words appearing every year, it is fair to say that it will continue to alter. ปัจจุบันนี้คำใหม่ต่างๆ ปรากฏขึ้นทุกๆปี มันสมควรกล่าวว่า มันจะยังคงเปลี่ยนแปลงต่อไป   Just as the worth around us is doing.   I hope you enjoyed this lesson and will continue to have fun with English. ผมหวังว่า คุณจะเปรมปรีดิ์กับบทเรียนนี้นะครับ และจะยังคงสนุกสนานกับภาษาอังกฤษ   This is Misterduncan in England saying นี่คือมิสเตอร์ดันแคน ในแดนอังกฤษกล่าว   I hope to see you again soon. ผมหวังว่าจะได้เจอคุณอีกเร็วๆนี้แหละครับ   And I hope you can join me again for another lesson. และผมหวังว่าคุณจะร่วมกับผมอีกสำหรับบทเรียนอื่นๆ   Thanks for watching and bye bye for now. ขอบคุณสำหรับการรับชมและลาก่อนสำหรับตอนนี้นะครับ                             แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 55 06:02:15 แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 55 05:52:49 แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 55 02:33:53 แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 55 01:34:45 แก้ไขเมื่อ 15 มี.ค. 55 12:41:19 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 00:41:33

ความคิดเห็นที่ 3                 LEARNING ENGLISH เรียนภาษาอังกฤษ WITH กับ MISTERDUNCAN มิสเตอร์ดันแคน LESSON TWENTY FIVE บทที่ 25 How to  Make A Speech           "Do you know the world of English คุณทราบไหม โลกของภาษาอังกฤษนั้น   is a fun and exciting place to be เป็นที่ที่สนุกสนานและน่าตื่นเต้น   I'm so glad that you could join me ผมแสนยินดี คุณได้ร่วมกับผม   for another lesson" อีกบทหนึ่ง "And our next contestant is Misterduncan" "Is this on?" "Ladies and Gentlemen" "Horrible Judges" "I mean honourable Judges" "The title of my speech is..." "I'm sorry...I'm very nervous." "I'm sorry...I can't do this."                     Hi! Everybody... สวัสดีครับ! ทุกๆท่าน ...   This is Misterduncan in   England. นี้คือ Misterduncan ในแดนอังกฤษ   How are you today? คุณสบายดีมั๊ยครับวันนี้?   Are you OK? ... I hope so! คุณสบายดีมั๊ย? ... ผมก็ว่างั้น!   Are you happy? ... I hope so! คุณสุขสันต์ดีมั๊ย? ... ผมก็ว่างั้น!   In this lesson we will examine the scary process ในบทนี้ เราจะมาพินิจกระบวนการที่น่ากลัว   of preparing and giving a public speech. ของการเตรียมการและแสดงสุนทรพจน์ต่อสาธารณะ *************************** SPEECH MAKING ***************************   Apparently the two things that people are most afraid of สองสิ่งที่คนหวั่นใจมากที่สุดชัดเจน   are Death and Public Speaking. คือความตายและการพูดต่อสาธารณชน   Sadly there is not much we can do about the first one. อย่างน่าเศร้า เราไม่สามารถทำอะไรกับประการแรกได้มากนัก   However there are ways to improve your confidence อย่างไรก็ตาม มีวิธีต่างๆเพื่อพัฒนาความมั่นใจของคุณ   when it comes to making a speech to a crowd of people. เมื่อมันมาถึงการกล่าวสุนทรพจน์ต่อฝูงชน   The first thing you need to learn and improve, is your confidence. ประการแรกที่คุณต้องเรียนรู้และพัฒนา คือ ความมั่นใจของคุณ   Speaking in front of people can be very scary. การกล่าวต่อหน้าผู้คนสามารถเป็นความน่ากลัวอย่างยิ่ง   So first of all you need to get used to the idea of doing it. ดังนั้น ประการแรกของทั้งหมด คุณต้องเคยชินกับความคิดว่า(คุณ)ทำมัน   Especially if it's your first time. โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามันเป็นครั้งแรกของคุณ   It may seem like a strange thing to do... มันอาจดูเหมือนเป็นสิ่งแปลกที่จะทำ   but practicing in front of a mirror is a great way to build up seem of that initial confidence. แต่การฝึกฝนต่อหน้ากระจกเป็นวิธีที่เยี่ยมเพื่อสร้างความมั่นใจขั้นเริ่มแรกนั้น   Get used to your own mannerisms พยายาม(รู้สึกเคย)ชินกับกิริยาท่าทางของคุณเอง and ways of showing what you are saying. และวิธีต่างๆที่แสดงออกว่าคุณกำลังพูดอะไร   Facial expressions and body language การแสดงความรู้สึกต่างๆทางสีหน้าและภาษากาย   are just as important as the words you are saying. ล้วนสำคัญเช่นกันกับคำต่างๆที่คุณกล่าว                  If you happen to have one of these wonderful devices  ถ้าคุณมีโอกาสมีเครื่องมือแสนวิเศษอันหนึ่ง ในทั้งหลายเหล่านั้น   then you are well on your way to improving your vocal technique. ดังนั้นแล้วคุณจะไปถูกทาง ในการพัฒนาเทคนิคการใช้เสียงของคุณ   Using a tape recorder can help you to get accustomed or used to the sound of your own voice. การใช้เครื่องบันทึกเทปสามารถช่วยคุณให้รู้สึกปกติหรือชินกับเสียงของคุณเอง   It may feel a little strange hearing yourself at first ในขั้นแรก มันอาจรู้สึกแปลกๆซักเล็กน้อยที่ได้ยินเสียงคุณเอง   but after a while you will begin to enjoy it  แต่หลักจากซักพักคุณจะเริ่มสนุกกับมัน   and your confidence will sl:-) build. และความมั่นใจของคุณจะถูกสร้างขึ้นมาอย่างช้าๆ   "Isn't that right?" "นั่นไม่ถูกต้องหรอ?"   "Yes, Misterduncan, you are absolutely correct." "ถูกสิ มิสเตอร์ดันแคน เธอถูกต้องสมบูรณ์เลย"   I suggest you start off with some simple words and sentences ผมแนะนำคุณ(ว่า) เริ่มด้วยบางคำต่างๆและประโยคต่างๆ ที่ง่ายๆ   and as you listen to the sound of your own voice. และเช่นกันกับ(ตอนที่)คุณฟังเสียงจากเสียงพูดของคุณเอง   You will be able to hear where there may be some problems. คุณจะสามารถได้ยิน จุดที่อาจเป็นบางปัญหาต่างๆ   One common problem which arises is the speed of speaking. ปัญหาปกติอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้น คือความเร็วในการพูด   There is no need to rush what you are saying. ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนในสิ่งที่คุณพูด   Give the audience a chance to hear your words. เปิดโอกาสให้ผู้ฟังได้ยินคำต่างๆของคุณ   Of course you must also speak clearly, so don't rush it and don't mumble. แน่นอน คุณต้องพูดอย่างชัดเจนด้วย(ชัดถ้อยชัดคำ) ดังนั้นอย่ารีบลนและอย่าพูดอู้อี้งึมงำในลำคอ   Once you feel confident enough. เมื่อคุณรู้สึกมั่นใจพอ   Then you can move on to speaking in front of a small audience. แล้วคุณจะสามารถพัฒนาสู่การพูดต่อหน้าผู้ชนจำนวนเล็กๆ   Get a few of your friends together or members of your family ชวนเพื่อนคุณจำนวนนิดหน่อยมาด้วยกัน หรือสมาชิกต่างๆในครอบครัวคุณ   or even your classmates to listen. หรือกระทั่งเพื่อนๆร่วมชั้นเรียน มาฟัง   This will allow you to get used to speaking in front of a crowd. นี่จะเปิดโอกาสคุณให้เคยชินกับการพูดต่อหน้าผู้คน Once you have built up your confidence เมื่อคุณได้สร้างความมั่นใจของคุณแล้ว   and you feel ready to face the audience และคุณรู้สึกพร้อมจะเผชิญกับผู้ชมผู้ฟัง   you must then prepare your main speech. ดังนั้นแล้ว คุณต้องเตรียมการบทสุนทรพจน์หลักของคุณ   It is good if you can talk about something you are interested in. มันเป็นการดี ถ้าคุณสามารถกล่าวเกี่ยวกับเรื่องที่คุณสนใจ   If the topic is free and open then you can talk about ถ้าหัวข้อนั้นอิสระและ(เป็นหัวข้อ)เปิดแล้ว ดังนั้นคุณสามารถพูดเกี่ยวกับ   your hobbies or your favourite story or share an experience from your life. งานอดิเรกต่างๆของคุณ หรือเรื่องที่คุณสนใจ หรือแบ่งปันประสบการณ์จากชีวิตของคุณ               Write the speech down clearly on paper. เขียนบทสุนทรพจน์ลงกระดาษอย่างกระจ่างชัดเจน   Or type it out, using a computer หรือใช้คอมพิวเตอร์พิมพ์มันออกมา   and sl:-) learn it...paragraph by paragraph. และเรียนรู้มันอย่างช้าๆ...ย่อหน้าต่อย่อหน้า   Do not try to learn it all at once. อย่าพยายามเรียนรู้มันทั้งหมดรวดเดียว   If you feel tired.. then take a rest. ถ้าคุณรู้สึกเหนื่อย...ก็หยุดพักซะ   Finally here are some useful tips I would like to share with you. ท้ายที่สุด นี่คือบางทิปส์ที่เป็นประโยชน์ที่ผมอยากจะแบ่งปันกับคุณครับ   When speaking to a crowd, try to use your body as a way of making the speech more vivid and clear. เมื่อพูดต่อหน้าฝูงชน การพยายามใช้ร่างกายของคุณ เป็นวิธีที่ทำให้การกล่าวสุนทรพจน์ดูร่าเริงและชัดเจนขึ้น     Hand gestures are very useful and remember to always keep your eyes on the audience. การผายมือต่างๆเป็นประโยชน์มาก และจำว่าตามองผู้ฟังเสมอ   If you forget a part of the speech do not panic. ถ้าคุณลืมส่วนของสุนทรพจน์ อย่าตื่นตระหนกตกใจ   Just carry on from the part you remember. แค่เรียบเรียงต่อ จากส่วนที่คุณจำได้ ์  "It's so hot in here!" "มันร้อนจังในนี้!"   I hope this advice has been useful. ผมหวังว่าคำแนะนำนี้จะเป็นประโยชน์นะครับ   Speaking in public is not easy การพูดต่อฝูงชน ไม่ง่าย   but with regular practice and steady confidence building... แต่ด้วยการฝึกธรรมดาๆ และสร้างความมั่นใจอย่างสม่ำเสมอ   you will be alright. คุณก็จะโอเค   I should know... I follow this advice myself. ผมควรจะทราบ... ผมทำตามคำแนะนำนี้ด้วยตัวผมเองครับ   That is all for this lesson. นั่นคือทั้งหมด สำหรับบทเรียนนี้ครับ   Good luck with your speech and stay happy. โชคดีกับการพูดต่อสาธารณชนนะครับและอยู่อย่างเป็นสุข   Before I finish my lesson today ก่อนที่ผมจะจบบทเรียนผมวันนี้   I would like to say a special   hello to my new friends ผมอยากกล่าวสวัสดีเป็นพิเศษแด่เพื่อนๆใหม่ของผมครับ   watching in   Brazil and    Italy. ที่กำลังดูอยู่ในบราซิลและอิตาลี Hello there!  I hope you've enjoyed today's lesson. สวัสดีทางโน้นครับ!   ผมหวังว่าคุณจะสนุกสนานกับบทเรียนของวันนี้นะครับ   and I hope you all will watch next time. และผมหวังว่าคุณทุกๆคน จะดูผมในครั้งหน้านะครับ   This is Misterduncan in England saying "Bye-bye for now!" นี่คือมิสเตอร์ดันแคนในอดนอังกฤษ กล่าว ลาก่อนนะครับสำหรับตอนนี้                         แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 55 04:51:09 แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 55 02:26:58 แก้ไขเมื่อ 15 มี.ค. 55 14:45:21 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 00:42:49

ความคิดเห็นที่ 4                 LEARNING ENGLISH เรียนภาษาอังกฤษ WITH กับ MISTERDUNCAN มิสเตอร์ดันแคน LESSON TWENTY SIX บทที่ 26 ON and OFF           "You know the world of English คุณทราบไหม โลกของภาษาอังกฤษนั้น   is a fun and exciting place to be เป็นที่ที่สนุกสนานและน่าตื่นเต้น   I'm so glad that you could join me ผมแสนยินดี คุณได้ร่วมกับผม   for another lesson" อีกบทหนึ่ง LEARNING ENGLISH เรียนภาษาอังกฤษ WITH กับ MISTERDUNCAN มิสเตอร์ดันแคน LESSON TWENTY SIX บทที่ 26 ON AND OFF   Hi! Everybody... สวัสดีครับ! ทุกๆท่าน ...   This is Misterduncan in   England. นี้คือ Misterduncan ในแดนอังกฤษ   How are you today? คุณสบายดีมั๊ยครับวันนี้?   Are you OK? ... I hope so! คุณสบายดีมั๊ย? ... ผมก็ว่างั้น!   Are you happy? ... I hope so! คุณสุขสันต์ดีมั๊ย? ... ผมก็ว่างั้น!   In this lesson, will examine two English words which are both short in length and in common use. ในบทนี้ จะอธิบาย 2 คำภาษาอังกฤษซึ่งทั้งคู่เป็นคำสั้นๆ และใช้กันอยู่ทั่วไป(ในชีวิตประจำวัน)   The words are..  "ON" and "OFF". คำนี้คือ "ON" และ "OFF"   One of the most fascinating aspects of the English language for me is how some words can have many different usages สิ่งที่เห็น ที่น่าสนใจมากที่สุดของภาษาอังกฤษอย่างหนึ่ง สำหรับผมคือ บางคำสามารถมีการใช้งานมากมายที่แตกต่างกันได้อย่างไร   For our first example, let's look at the word...ON สำหรับตัวอย่างแรกของเรา มาดูกันที่คำว่า "ON"   Examples    ตัวอย่างต่างๆนะครับ                                    "I will see you ON Tuesday." ผมจะพบคุณในวันอังคาร                           In this sentence, the word "on" is used to show a precise or certain day when something will happen. ในประโยคนี้ คำว่า "ON"  ใช้เพื่อแสดงวันที่ชัดเจนหรือแน่นอน เมื่อบางอย่างจะเกิดขึ้น   "The party is still ON."     งานเลี้ยงยังคงดำเนินอยู่   In this sentence the word "on" means... ในประโยคนี้ คำว่า "ON" หมายถึง...   something will go ahead and happen as planned. บางอย่างจะดำเนินไปและเกิดขึ้นอย่างที่ได้วางแผนไว้   "The ball was On target for the goal." ลูกบอลอยู่ที่เป้า (ตรง)ตามเป้าหมาย        In this sentence, the word "on" means correct or heading in a positive direction. ในประโยคนี้  คำว่า "ON" หมายถึง ถูกทางหรือมุ่งหน้าไปยังทิศทางบวก   "Are you still ON for the match tomorrow?"     เธอยังคง จะไปนัดพรุ่งนี้มั๊ย?   In this sentence, the word "on" is used to mean, ในประโยคนี้  คำว่า "ON" เคยหมายถึง   are you still interested in doing it or going there? เธอยังคงสนใจทำมันหรือ(ยังคงสนใจ)ไปที่นั่นมั๊ย?   "I left the light ON." ชั้นเปิดไฟทิ้งไว้        In this sentence, the word "on" means  ในประโยคนี้  คำว่า "ON" หมายถึง   something is functioning or working บางอย่างที่การใช้งานหรือการทำงาน   normally relating to a device which uses energy to operate... ปกติแล้วเกี่ยวข้องกับเครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้พลังงานเพื่อ(ให้มัน)ทำงาน   for example, a TV or Radio or a Gas-Fire or Stove. สำหรับตัวอย่าง, โทรทัศน์ หรือ วิทยุ หรือ Gas-Fire หรือ เตาทำอาหาร                   Now let's look at the word "off." ตอนนี้  มาดูกันที่คำว่า "OFF"   Here are some examples of it's usage. นี่เป็นบางตัวอย่างต่างๆของการใช้คำนี้   "I'm OFF work next Monday." "ผมหยุดงานวันจันทร์หน้า"     In this sentence, the word "off" means.. ในประโยคนี้  คำว่า "OFF" หมายความว่า..   I do not need to do that or to be away. ชั้นไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น หรือ(จะ)จากไป   "Yeah!...I'm OFF on my holiday soon." "เย้!...ชั้นไปตอนวันหยุดชั้น เร็วๆนี้หละ"   In this sentence, the word "off" simply means going. ในประโยคนี้  คำว่า "OFF" หมายความง่ายๆว่า กำลังไป..   "I'm OFF my food at the moment." "ชั้นไม่ทานอาหาร(ชั้น)ซักระยะนึง"   In this sentence, "off" means... ในประโยคนี้  คำว่า "OFF" หมายความว่า..   unable to do something or must avoid doing something. ไม่สามารถทำบางอย่างได้หรือต้องเลี่ยงการทำบางอย่าง   "Poooh, this Milk is OFF!" "Poooh, นมนี่บูด(ทานไม่ได้)"   In this sentence, the word "off" simply means inedible. ในประโยคนี้  คำว่า "OFF" หมายความง่ายๆว่าทานไม่ได้     It cannot be eaten or drunk. It is rotten. ทานหรือดื่มมันไม่ได้ มันเสีย(หมดอายุ)   "Please turn OFF the light." กรุณาปิดไฟ   In this sentence, word "off" means... ในประโยคนี้  คำว่า "OFF" หมายถึง   disconnect or cut-off the power supply to a device ไม่เชื่อมต่อหรือตัดกระแสไฟของเครื่องมือ   which uses energy to operate  ที่ใช้พลังงานในการทำงาน   such as  a Computer or a Microwave Oven. Or  a light-bulb. เช่นคอมพิวเตอร์ หรือเตาไมโครเวฟ หรือหลอดไฟ   When we take a closer look at common words เมื่อเรามาดูคำต่างๆที่ใช้บ่อยอย่างใกล้ชิดขึ้น   we find that they can be used in many different ways. เราพบว่า พวกเค้าสามารถถูกใช้ในหลายๆวิธีแตกต่างกัน   Before I finish today I have a question for you. ก่อนผมจะจบวันนี้ ผมมีคำถามสำหรับคุณครับ   Do you know which English word has the most uses and definitions within a sentence? คุณทราบมั๊ยครับว่าคำอังกฤษคำไหนที่ใช้มากที่สุดและมีความหมาย(มากที่สุด) เมื่ออยู่ในประโยค?   Do you think you know the answer? Really? คุณคิดว่าคุณทราบคำตอบมั๊ย? จริงอะ?   Well, just in case you don't know. เอาหละ, เผื่อว่าคุณไม่ทราบ   I will give you the answer at the start of my next lesson. ผมจะให้คำตอบคุณตอนเริ่มต้นของบทหน้านะครับ   Sadly, it is time for me to say goodbye for now. อย่างเศร้าครับ มันเป็นเวลาของผมเพื่อกล่าวลาก่อน ณ ตอนนี้ครับ   But before I go, I would like to say a special "Hello!" to my new friends in... แต่ก่อนผมไป ผมอยากจะกล่าว "เฮลโหล!" ถึงเพื่อนใหม่ผมใน   South Korea,   Japan,   Germany,   The Czech Republic and Mexico เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น, เยอรมันนี, สาธารณรัฐเชค และ เมกซิโก   who have all recently started watching my lessons and following them. ผู้เริ่มดูบทเรียนผมเมื่อเร็วๆนี้และดูมาเรื่อยๆ   This is Misterduncan in    England saying to the whole World... นี่คือ นายดันแคนในอดนอังกฤษ กล่าวกับโลกทั้งใบ...   Thanks for watching and remember ... ขอบคุณสำหรับการรับชมนะครับ และจำไว้ว่า ...   Enjoy English ... because I do :-) สนุกกับภาษาอังกฤษนะครับ  ... เพราะว่าผมทำ  :-)   Bye - bye for now! ลาก่อนสำหรับตอนนี้ครับ!         แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 55 04:29:09 แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 55 04:27:49 แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 55 04:13:33 แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 55 02:41:49 แก้ไขเมื่อ 16 มี.ค. 55 09:23:06 แก้ไขเมื่อ 15 มี.ค. 55 14:46:28 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 00:44:33

ความคิดเห็นที่ 5 และครั้งนี้ก็จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เราจะเรียนกับคุณครูวีเลนกัน เพราะคลิปดำเนินมาถึงตอนที่ 21 แล้ว หมดคลิปแล้วจ้า ขอบคุณคุณครูวีเลนมากนะคะ นี้คือชาแนลคลิปทั้งหมดของคุณครูวีเลนค่ะ มีแปลไว้หมดแล้ว (รวมตอนนี้ ตอนสุดท้าย) เดี๋ยววันหลังเราจะทำอินเด็กซ์ค่ะ ว่าคลิปไหนอยู่ในตอนไหน ตอนไหน มีคลิปอะไรบ้าง ในเพลย์ลิสต์เราก็มีลิสต์ของครูวีเลน เป็นคลิปของครูวีเลนทั้งหมดนะ เหมือนกันหมดเลย แต่คนละลิงค์ อันนี้ทางไปชาแนลครูวีเลนจ้า http://www.youtube.com/user/ValenESL/videos               แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 55 05:09:43 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 00:55:53

ความคิดเห็นที่ 6 More Common Workplace Expressions More Common Workplace Expressions สวัสดีค่ะ ดิชั้นวีเลนค่ะ นี่เป็นบทเรียนเรื่อง  การแสดงออกทั่วๆไป ในสถานที่ทำงาน ดังนั้น วันนี้เราจะมาเรียนกัน  8 คำ/สำนวนนะคะ และสำนวนแรกคือ Put on the map   1. Put On the Map และ Put on the map หมายความว่าอะไรคะ   Put on the map = to make known  = ทำให้เป็นที่รู้จักกว้างขวาง เราพบในประโยคอย่างนี้ค่ะ This new product will put us on the map. (ผลิตภัณฑ์ใหม่นี้ จะทำให้เราเป็นที่รู้จักในวงกว้าง) และมันหมายความว่าอะไรคะ This new product will make us well known.  = Put on the map   2. การแสดงออกลำดับที่ 2 = Savvy  หมายความว่า   = smart and knowledgeable about something = ฉลาด มีความรู้เชี่ยวชาญในสาขา/ทางหนึ่งๆ(เป็นอย่างดี) ดังนั้น เราสามารถใช้ได้อย่างนี้นะคะ We hired Tom because he is computer savvy. (เราจ้างทอมเพราะทอมเชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์เป็นอย่างดี) และนั่นหมายความว่าอย่างไรคะ หมายความว่าทอมฉลาดและมีความรู้เป็นอย่างมากด้านคอมพิวเตอร์ (เรียกว่า) He is computer savvy.  ดังนั้นคำที่ 2 คือ savvy   3. คำที่ใช้บ่อยในที่ทำงานคำต่อมา คือ  Play Hardball และมันหมายความว่าอย่างไรคะ มันหมายความว่า   = in a tough situation: when you dealing with a tough situation or  a person you dealing with them in tough way. You're going to play hard ball. แปล  =  ในสถานการณ์ที่อึด/สู้/ลุย เมื่อคุณต้องติดต่องานในสถานการณ์ที่โหดๆ หรือพวกคนที่คุณติดต่องานด้วย ด้วยวิธีที่หิน  คุณกำลัง play hard ball. นี่คือตัวอย่างนะคะ If our competitor won't comply we are going to have to play hard ball. ถ้าคู่แข่งเราไม่ยินยอม เราต้อง play hard ball. (เล่นบทยาก) นั่นหมายถึง เราต้องร่วมงานกับคู่แข่งด้วยวิธีที่ยาก   4. คำต่อมาคือ Power Lunch Power Lunch หมายถึงอะไรคะ   Power Lunch ก็คือ นักธุรกิจ ทำธุรกิจ โดยผ่านการทานมื้ออาหารเที่ยง(มาร่วมทานอาหารกันไปคุยธุรกิจไป คือ สนทนาธุรกิจระหว่างทานอาหารมื้อเที่ยง) ตัวอย่างนะคะ Today our boss and our finance department went out for a power lunch. (วันนี้หัวหน้าเราและฝ่ายการเงินออกไปทาน power lunch กัน) ดังนั้น ความหมายคือ วันนี้หัวหน้าเราและฝ่ายการเงินออกไปด้วยกัน ไปสนทนาธุรกิจระหว่างทานอาหารมื้อเที่ยง   5. คำต่อมาคือ The Bottom Line the bottom line หมายความว่าอย่างไรคะ มันหมายความว่า   = the final result or in the end = ผลสุดท้ายหรือ ในตอนจบ และนี่คือตัวอย่างว่าเราใช้คำว่า The Bottom Line ว่าอย่างไรนะคะ We worked hard on our sales pitch but the bottom line is that we didn't make the sale. เราทำงานหนักเรื่องพยายามชักชวนพยายามขายของแต่ผลสรุปคือว่าเราไม่ได้ยอดขาย ดังนั้น ความหมายคือ ตอนจบ เราขายของไม่ได้ หรือ ไม่ว่าเราจะทำงานหนักเรื่องพยายามขาย แต่ผลสรุป(ในท้ายที่สุด)ผลลัพทธ์ คือ เราขายไม่ได้ ลืมไปเถอะว่าเราทำงานหนักมาอย่างไร นะคะ The Bottom Line   6. เอาละค่ะ คำต่อมา คือ Tweak (To Tweak Something) นี่คือการใช้นะคะ โอเค I just have to tweak my report a little bit and then it will be finished. (ชั้นแค่ต้องปรับรายงานชั้นนิดหน่อยแล้วมันก็จะเสร็จแล้วน่ะ) ดังนั้น Tweak หมายความว่าอย่างไรคะ   = make slight adjustment to = ปรับนิดหน่อยเล็กน้อย   7. โอเคนะคะ และคำต่อไปคือ Fly By The Seat Of Your Pants คำนี้   = You don't prepared or planned = ทำอะไรโดยไม่มีแพลน มาดูตัวอย่างกันนะคะ Tom's presentations are bad. He is always flying by the seat of his pants. (งานนำเสนอของทอมแย่ เค้ามักจะ(ไปตายเอาดาบหน้า) ทำโดยไม่ได้เตรียมมาล่วงหน้า) โอเคค่ะ   8. คำสุดท้ายคือ Number Crunching นี่คือสิ่งที่แผนกไฟแนนซ์ทำนะคะ   Number Crunching = analyze number = วิเคราะห์ตัวเลข และเราสามารถใช้ในประโยคเช่นนี้นะคะ I'm going to go back to my office and crunch some numbers. (ชั้นกำลังจะกลับไปที่ออฟฟิซชั้นแล้ววิเคราะห์พวกตัวเลขทั้งหลายน่ะ) ความหมายคือ ชั้นกำลังจะกลับไปที่ออฟฟิซชั้นและวิเคราะห์สถานการ์การเงิน หรือพวกตัวเลขต่างๆ analyze number = Number Crunching เอาละค่ะ ดังนั้น ในบทเรียนนี้ เราเรียน 8 คำ/วลี ใช้บ่อยในภาษาอังกฤษ ในที่ทำงานกันนะคะ Put On the Map , Savvy,  Play Hardball, Power Lunch, The Bottom Line, Tweak, Fly By The Seat Of Your Pants, Number Crunching   คุณสามารถทดสอบความรู้ของคุณโดยทำแบบฝึกหัดที่เว็บอิงวิดค่ะ (เชิญตามลิงค์ไปทำแบบฝึกหัดค่ะ แบบฝึกหัดอยู่ใต้รูปวิดีโอค่ะ) http://www.engvid.com/more-common-workplace-expressions/ แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 55 10:07:03 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 00:56:52

ความคิดเห็นที่ 7 คุณครูคนใหม่ค่ะ ที่มาแทนครูวีเลน  ครูรีเบคก้าค่ะ จริงๆก็ไม่ได้ใหม่หรอกค่ะ เคยมาพูดเรื่อง 8 วิธีกล่าวขอบคุณแล้ว ในตอน 1 มาดูกันดีกว่า Prepositions in English - 'at', 'on', 'in' เราขอแปลไทยเลยนะ ไวดี จะได้แปลได้หลายๆคลิป ** คือซับไตเติ้ลทำขึ้นเพื่อช่วยผู้เรียนเผื่อติดขัด บางคำ บางประโยคตรงไหนนะ จะได้เข้าใจได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ที่เราเขียนไทยไว้ ลองพยายามฟังตามดูว่าจริงๆแล้วเค้ากำลังพูดว่าอะไร คือ จริงๆ ไม่ต้องดูเลยจะดีมาก แต่ทำเผื่อผู้เรียนหลายระดับ คนที่เค้าไม่ได้เก่งมากแต่อยากเข้าใจก็มี ก็พัฒนากันไปเรื่อยๆ *-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-* สวัสดีค่ะ ดิชั้นรีเบคก้าค่ะ และวันนี้จะสอนหลักภาษาอังกฤษคุณ เรื่องที่นักเรียนหลายคนมีปัญหา นั่นคือเรื่อง คำบุพบท(ในภาษาอังกฤษ)ค่ะ คำเล็กๆน้อยๆเหล่านี้บางครั้งอาจทำให้เราสับสนมากๆ และเหตุผลก็คือเพราะว่าปกติแล้วในหลายๆภาษา ใช้คำบุพบทแตกต่างกัน ดังนั้น ถ้าคุณมีปัญหาในการใช้นะคะ อย่ารู้สึกแย่ค่ะ เพราะว่านักเรียนจำนวนมากมีปัญหากับคำบุพบทต่างๆ ไม่ได้หมายความว่า คุณไม่สามารถเรียนรู้  แต่ด้วยการฝึกฝนที่มากพอ คุณก็สามารถเรียนรู้คำบุพบทที่ถูกต้องได้ค่ะ วันนี้ ชั้นก็จะพูดเรื่อง คำบุพบทเล็กๆ 3 คำ ที่เราพบบ่อยๆในภาษาอังกฤษค่ะ ซึ่งคำเหล่านี้ก็ได้แก่คำว่า  'at', 'on', 'in' นะคะ ซึ่ง 'at', 'on', 'in'  สามารถใช้เพื่ออ้างถึง เวลา หรือ สถานที่ ในตัวอย่างนี้ ในวิดีโอนี้ เรากำลังกล่าวถึงเรื่อง คำเหล่านี้ใช้อย่างไรในปริบทของเวลาค่ะ at มาเริ่มกันที่คำแรก 'at' ค่ะ v. specific time 'at' เป็นคำที่ใช้อย่างบ่งชี้เฉพาะเจาะจงมากค่ะ ใช้กับเวลาที่บ่งชี้เฉพาะมากๆ สำหรับตัวอย่างนะคะ at  12.30, at 5 o'clock, at 3.45 มันเป็นการบ่งชี้เวลาที่เฉพาะเจาะจงเป๊ะมากๆ คุณยังสามารถใช้เป็นคำบุพบทในกรณีเช่นนี้ได้ด้วย at midnight, หรือ at noon คำเหล่านั้นนั้น บ่งชี้เฉพาะเจาะจงมากๆ โอเคนะคะ และคำที่สอง on (การเฉพาะเจาะจง) ใช้กว้างกว่า at เล็กน้อย ไม่ได้เฉพาะเจาะจงมากขนาดนั้น แต่ก็ไม่กว้างมากไปนัก เราใช้ on เพื่อนำเสนอว่า 1 วัน หรือ 1 วันที่ (แบบเป็นตัวเลข) (คือใช้กับ day, หรือ date) ตัวอย่างนะคะ เราสามารถพูดว่า on Saturday, on Mondays คุณสามารถพูดว่า on Mondays  สำหรับตัวอย่างคือ ชั้นเรียนโยคะของชั้นมีทุกวันจันทร์ (ในกรณีนี้ใช้ on Mondays ถ้าไปทำเป็นประจำทุกวันจันทร์) นั่นคือตัวอย่างการใช้นะคะ คุณยังคงใช้นี่ได้ด้วยค่ะ(พวกที่กล่าวไป) หรือใช้กับวันหยุดพิเศษที่เฉพาะเจาะจง เช่น on New Year's Day หรือ วันที่เฉพาะเจาะจง ระบุลงไปเลยอย่าง Dec 5th เช่นเรากำลังจะพบกัน ในวันที่ Dec 5th ดังนั้น สรุปสั้นๆนะคะ at - เฉพาะเจาะจงมากๆ, ระบุช่วงเวลาชัดเจน at  12.30 on - กว้างกว่าเล็กหน้อย เช่น ประมาณวันนึง เช่น on Monday, on January 25th, โอเคนะคะ และตอนนี้ เรามาถึงคำสุดท้ายกันค่ะ นั่นคือ in in ครอบคลุม ช่วงเวลาที่กว้างที่สุดค่ะ ดังนั้น ถ้าคุณไม่มั่นใจนะคะ ใช้ inไว้ก่อนค่ะ :)) เพราะคำนี้ ครอบคลุมช่วงเวลาที่กว้างขวางที่สุดค่ะ แต่ชั้นชอบให้คุณเรียนรู้ในทางที่ถูกอะนะคะ ดังนั้นคุณก็ควรจะใช้คำบุพบทที่เหมาะสมถูกต้อง สมบูรณ์ที่สุดอะค่ะ :)) ดังนั้นคำนี้ in เราสามารถใช้ ก่อน เดือน, ฤดู, ปี, ทศวรรษ, ช่วงเวลา in months, seasons, years, decades, periods สำหรับตัวอย่างนะคะ คุณสามารถพูดว่า ชั้นเกิดในเดือนกันยายน (ภาษาอังกฤษคือ .... in September ) ชั้นเกิดในช่วงฤดูร้อน (ภาษาอังกฤษคือ .... in the summer ) ชั้นเกิดในปี 1995 (ภาษาอังกฤษคือ .... in 1995 ) อาจจะเป็นชั้น อาจจะเป็นคุณ เขาเกิดในช่วงยุค 1960s (ภาษาอังกฤษคือ .... in the 1960s) หรือ นี่เกิดขึ้นในช่วงยุคกลาง  (ภาษาอังกฤษคือ .... in the Middle Ages) เหล่านี้คือตัวอย่างนะคะ ของการใชบุพบท in ว่าใช้อย่างไร ซึ่งก็ใช้กับช่วงเวลาที่แตกต่างกัน โอเคนะคะ และดิชั้นก็หวังว่าดิชั้นได้แบ่งปันบางวิธีการใช้คำบุพบทที่สำคัญ ว่าใช้อย่างไรในภาษาอังกฤษ โชคดีกับภาษาอังกฤษของคุณนะคะ สวัสดีค่ะ แก้ไขเมื่อ 17 มี.ค. 55 02:01:48 แก้ไขเมื่อ 16 มี.ค. 55 10:11:04 แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 55 05:10:47 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 01:03:47

ความคิดเห็นที่ 8 คำที่มัก(ทำให้เรา)สับสนค่ะ Confused Words: THEY'RE, THERE, THEIR สวัสดีค่ะ ดิชั้นรีเบคก้า และวันนี้เราจะมาคุยกันเรื่องบางคำที่มักใช้กันสับสนในภาษาอังกฤษกันนะคะ เรามีบางคำเช่นนี้ ซึ่งมันท้าทายความสามารถกันจริงๆ คำพวกนี้ก็คือ คำพ้องเสียง ซึ่งก็คือคำที่ออกเสียงเหมือนกันกับคำอื่น แต่สะกดต่างกันและมีความหมายต่างกันนะคะ เอาหละค่ะ มาเริ่มที่คำเซ็ทแรกกัน สำหรับวันนี้ นั่นคือ คำแรกคือ THEY'RE, คำที่สองคือ THERE, และคำสุดท้ายคือ THEIR  นะคะ ดังนั้น อย่างที่คุณเห็นนะคะ ทั้งหมด ออกเสียงเหมือนกันเลยค่ะ แต่ มันต่างกันโดยสิ้นเชิงเลย มีความหมายต่างกัน ทั้งสามสะกดต่างกัน และเมื่อคุณเขียน คุณต้องทราบความหมายของมัน(แต่ละคำ)อย่างถ่องแท้จริงๆ เพราะถ้าคุณเขียนผิดในคำหนึ่งคำใดนี้ ซึ่ง(คำเหล่านี้)มันค่อนข้างเป็นคำพื้นฐานนะคะ และคุณไม่ต้องการสูญเสียคะแนนในการสอบต่างๆ ในคำที่ค่อนข้างเป็นพื้นฐานเหล่านี้นะคะ   ดังนั้นมาเรียนรายละเอียดให้มากขึ้นกันค่ะ คำแรก THEY'RE         เป็นคำลดรูป คำลดรูปคือ คำที่มีมา 2 คำ  คำนี้มาจาก คำ 2 คำ คือ THEY + ARE และเราย่อรูป ออกมาได้เป็น THEY'RE ดังนั้น นั่นคือคำแรก โอเคนะคะ มาดูตัวอย่างของคำว่าTHEY'RE (ซึ่งเป็น)คำแรกกันค่ะ พวกเค้าเป็นชาวอังกฤษ(บริติช)  พวกเค้ากำลังนั่งอยู่ในรถ พวกเค้าเป็นนักเรียนนานาชาติ ในแต่ละกรณีเหล่านี้ เราพยายามพูดว่า พวกเค้า พวกเค้าเป็นนักเรียนนานาชาติ พวกเค้ากำลังนั่งอยู่ในรถ โอเคนะคะ   เอาหละ มาดูคำที่สองกันค่ะ คำที่สองคือ THEIR THEIR เป็นคำคุณศัพท์แสดงความเป็นเจ้าของนะคะ หมายความว่า มันเป็นของพวกเขา (หรือ ของพวกเขา) สำหรับตัวอย่างนะคะ นั่นคือบ้านของพวกเค้า นั่นคือรถของพวกเค้า  โอเคนะคะ คุณเห็นบ้านใหม่ของพวกเค้ามั๊ยคะ? นั่นหมายความว่า ใช้อย่างคำคุณศัพท์อ้างถึงของบางอย่างที่เป็นของพวกเค้านะคะ โอเคนะคะ   ไปกันที่คำที่สามนะคะ THERE THERE สามารถเป็นได้ 2 อย่างค่ะ ในกรณีหนึ่ง มันสามารถใช้เป็นการเกริ่นนำก่อนVerb to be เช่น นั่นคือจอห์น, นั่นคือหนังสือของชั้น หรือ นั่นคือเพื่อนชั้น โอเคนะคะ มีการลดราคาที่ห้าง, อะไรอย่างนั้นนะคะ มันยังสามารถใช้เป็นAdverb หมายความว่า (อยู่)ในที่นั่น เช่น หนังสือของเธออยู่นั่น, รถเธอจอดที่นั่น โอเคนะคะ ดังนั้น นี่คืออีกวิธีนึงที่คุณสามารถใช้ THERE นะคะ (ช่วงคำถาม) เอาล่ะค่ะ ตอนนี้ คุณทราบคำ 3 คำนี้อย่างชัดเจนชัดแจ้งแล้ว เราก็จะถามคุณ 2 - 3 คำถามนะคะ  ให้คุณบอกว่า คำไหนใน 3 คำ คือคำที่ถูกต้อง ที่ใช้ในตัวอย่างเหล่านี้คะ (THEY'RE,  THEIR,  THERE ) 1.  ถ้าเราพูดว่า Have you visited .......  house? คุณได้ไปเยี่ยมบ้าน ....... มั๊ย คำไหนคะ (เฉลย) มันต้องเป็นรูปคำแสดงความเป็นเจ้าของ ที่เป็นของพวกเค้า(เจ้าของบ้าน) ดังนั้น เราพูดถึง ตัวกลางค่ะ THEIR (เพราะเป็น) คำคุณศัพท์ที่แสดงความเป็นเจ้าของ โอเคนะคะ 2. อีกคำถามนะคะ (THEY'RE,  THEIR,  THERE ) ..........  good friends. .......... เพื่อนๆที่ดี โอเคนะคะ คำไหนคะ (เฉลยนะคะ) ถูกต้องค่ะ There're  good friends. (พวกเค้าเป็นเพื่อนๆที่ดี) รูปย่อของคำสองคำ THEY  ARE ดังนั้นก็เป็นคำแรกค่ะ 3. มาทำอีกคำถามนะคะ (THEY'RE,  THEIR,  THERE ) ..........   are many ways to improve your English. ..........   หลายวิธีต่างๆเพื่อพัฒนาความสามารถภาษาอังกฤษของคุณ คำไหนที่เราใช้กันคะ (เฉลยค่ะ) THERE are many ways to improve your English. (มีหลายวิธีต่างๆเพื่อพัฒนาความสามารถภาษาอังกฤษของคุณ) ดูๆแล้ว ต้องเป็นคำสุดท้ายค่ะ โอเคนะคะ ลองใช้เวลาสองสามนาทีทบทวนนะคะ เมื่อดิชั้นกลับมา เราจะทำแบบทดสอบกันนิดหน่อย กับ 1 ประโยค ซึ่งชั้นอยากให้คุณเขียนมันลง(กระดาษ)นะคะ บางทีคุณอาจหยิบ กระดาษ ปากกา กันมานะคะ และชั้นจะกลับมานะคะ -*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-* โอเค คุณได้ไปหยิบกระดาษมั๊ยคะ เอาหละ นี่คือ แบบฝึกหัดนะคะ ซึ่งคุณสามารถพัฒนาทักษะการใช้คำ 3 คำ นี้นะคะ (เขียนตามครูรีเบคก้าบอกค่ะ) (THEY'RE,  THEIR,  THERE ) .....  sitting over ..... in ...... car. เขียนลงนะคะ ระหว่างที่คุณเขียนลง(กระดาษ) ดิชั้นก็จะเขียนบนกระดานให้คุณนะคะ **เฉลยค่ะ** They're sitting over there in their car. (พวกเค้ากำลังนั่นอยู่ตรงโน้นในรถเค้า) คุณได้ทั้งหมดมั๊ย คำแรก They're พวกเค้า นั่งอยู่ที่นั่น "ในที่นั่น" there ใน their car ในรถซึ่งเป็นของพวกเค้า โอเคนะคะ ดังนั้น ถ้าคุณจำประโยคนี้ได้ บางทีคุณก็จะจำคอนเสปท์การใช้ได้ดีขึ้นมากเลยนะคะ ถ้าคุณต้องการดูบทเรียนเพิ่มเติม คุณสามารถเขียนประโยคลง(กระดาษ) มากขึ้น ด้วยตัวอย่างทั้งสาม วิธีนี้ จะทำให้คุณแน่ใจได้ว่าคุณจะไม่ผิดพลาดอีกในบางเรื่องที่เป็นพื้นฐานนะคะ ถ้าคุณมีคำถามเกี่ยวกับบทเรียนนี้หรืออะไรก็ตามเกี่ยวกับเรื่องภาษาอังกฤษ กรุณา feel free ในการเข้าไปที่เว็บไซด์ อิงวิดนะคะ แล้วพบกันค่ะ ขอบคุณมากค่ะ ลาก่อนนะคะ แก้ไขเมื่อ 17 มี.ค. 55 01:55:18 แก้ไขเมื่อ 16 มี.ค. 55 11:06:06 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 01:07:14

ความคิดเห็นที่ 9 English Grammar: Reported Speech English Grammar: Reported Speech   สวัสดีค่ะ ดิชั้นรีเบคก้าค่ะ และวันนี้เราจะมาคุยกันเรื่อง บางคำที่รู้จักกันว่า Reported Speech ในหลักภาษาอังกฤษนะคะ (ความหมายและการใช้) เราใช้ Reported Speech เมื่อเราพูดถึงบางอย่างที่บางคนได้เคยพูดมาก่อน เมื่อคุณอธิบาย เมื่อบางคนได้เคยบอกเล่าคุณ เมื่อบางคนได้เคยกล่าวกับคุณ คุณใช้ Reported Speech วิธีที่เราใช้ ก็คือ  เราใช้ประโยคออริจินอล และปกติเราเปลี่ยนมันให้เป็น 1 Tense back. ที่พูดไป ชั้นหมายความว่าอย่างไรกัน? 1. เราจะมาดูกันที่ตัวอย่างแรกสำหรับคุณบนกระดาน โดยใช้ Verb to be กันนะคะ ดังนั้น ในประโยคออริจินอล เราพูดว่า You are smart. เมื่อมีบางคนพูดกับคุณว่า คุณฉลาดปราดเปรียว ถ้าชั้นจะอธิบาย ชั้นจะพูดว่า He said,  you were smart.  เขากล่าวว่าคุณฉลาดปราดเปรียว เราไม่ใช้ว่า He said, you are smart. เราใช้  He said,  you were smart.  นั่นเพียงเพราะว่าเราต้องใช้ Reported Speech เมื่ออธิบายเมื่อมีใครบางคนได้กล่าว(ไปแล้ว) มันไม่ได้หมายความว่าคุณไม่ฉลาดปราดเปรื่องอีกต่อไป คุณยังคงฉลาดนะคะ เพียงหมายความว่าคุณกำลังอธิบายเมื่อมีบางคนได้เคยบอกคุณในอดีต โอเคนะคะ 2. ดังนั้นมาดูที่ประโยคถัดไปกันนะคะ He is a teacher. เขาเป็นครู   นั่นคือประโยคออริจินอล เมื่อคุณต้องการเปลี่ยนเป็น Reported Speech คุณพูดว่า He told me, he was a teacher. เค้าได้บอกชั้นว่า เค้าเป็นครู คุณเห็นการเปลี่ยนนั่นมั๊ยคะ จาก is เป็น was 3. ดูที่ประโยคถัดไปนะคะ She is beautiful. เธอสวย   นั่นคือประโยคออริจินอล   He told me, she was beautiful. เค้าได้บอกชั้น ว่าเธอสวย ใช่มั๊ยคะ  และเช่นเดิม เราได้เปลี่ยน จาก she is เป็น she was 4. ประโยคถัดไปนะคะ It is broken. มันพัง He told me, it was broken. เค้าได้บอกชั้น ว่ามันพัง ใช่มั๊ยคะ it is เป็น it was 5. ประโยคสุดท้ายตรงนี้ They are tired. พวกเค้าเหนื่อยล้า He told me, they were tired. เค้าได้บอกชั้น ว่าพวกเค้าเหนื่อย ใช่มั๊ยคะ they are กลายมาเป็น they were นั่นคือเซ็ทแรกของเซ็ทตัวอย่างที่ชั้นให้คุณนะคะ   ด้วย Verb to be เมื่ออีกซักครู่ชั้นกลับมา ชั้นจะให้ตัวอย่างแก่คุณมากขึ้นนะคะ โดยใช้ Tense พื้นฐานตัวอื่น เช่น Present Simple, Past Simple และอื่นๆ เดี๋ยวพบกันนะคะ -*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*   โอเคนะคะ แล้วตอนนี้มาทำต่อกันด้วยบาง Tense อื่นๆและดูว่ามันทำ/ใช้อย่างไร เมื่อมาทำเป็น Reported Speech โอเคนะคะ 1. มาดูกันที่ตัวอย่างนี้นะคะ They live in Russia. ประโยคออริจินิล เป็น Present Simple เมื่อมาทำเป็น Reported Speech เราพูดว่า He told me, they lived in Russia กลายมาเป็น Past Simple   Present Simple  กลายมาเป็น ==> Past Simple  He told me, they lived in Russia 2. มาดูกันที่ประโยคถัดไปกันนะคะ They are living in Russia. ตอนนี้พวกเค้าอยู่ในรัสเซีย  เป็น Present Continuous เมื่อเราทำเป็น Reported Speech เราพูดว่า He told me, they were living in Russia. are living  กลายมาเป็น  ==>  were living 3. ประโยคถัดไปนะคะ They lived in Russia. นั่นคือประโยคออริจินอล Past Simple เมื่อเรามาทำเป็น Reported Speech เราพูดว่า He told me, they had lived in Russia. มันกลายมาเป็น  ==>  Past Perfect 4. They were living in Russia. They were living in Russia. เป็น Past Continuous ดังนั้น เมื่อเราเปลี่ยนเป็น Reported Speech  เราพูดว่า He told me, they had been living in Russia. มันกลายมาเป็น  ==>  Past Perfect Continuous ในการทำ Reported Speech  เราต้องระวังการใช้ Tenses นะคะ โอเคนะคะ และรูปฟอร์มต่างๆต้องรู้จริงๆอะค่ะ   5. และอันสุดท้ายนะคะ ประโยค Future ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง They will live in Russia. นั่นคือในอนาคตดังนั้น เราเปลี่ยนเป็น He told me, they would live in Russia. นี่คือตัวอย่างนะคะ ใช้ 5 Tenses ที่แตกต่างกัน และ (แสดงการ)เปลี่ยประโยคจากประโยคออริจินอลที่ได้ยิน มาเป็น  Reported Speech ได้อย่างไร เอาล่ะค่ะ  ไปกันที่แบบฝึกหัดเล็กๆน้อยๆเพื่อดูว่าคุณเข้าใจเรื่องนี้ดีแค่ไหนกันนะคะ 1. นี่คือตัวอย่างแรกนะคะ I like ice cream. ชั้นบอกคุณนะคะ ว่าชั้นชอบไอสครีม ดังนั้น คุณไปบอกอีกคนนึง Rebecca said that, .................................. . (เฉลยค่ะ) Rebecca said that, she liked ice cream. โอเค ถ้าคุณตอบอย่างนี้ คุณก็ถูกนะคะ เรานำ the Present Simple: I like ice cream  เปลี่ยนไปเป็น ==> Past 2. มาทำอีกตัวอย่างนะคะ You ate dinner You ate dinner เป็นประโยคออริจินอล เมื่อบางคนกล่าว หรือเมื่อเรารายงานหรืออธิบายให้บางคน(ทราบ) คุณจะพูดว่าอย่างไรคะ ....................................................... (เฉลย) He said that you had eaten dinner. คุณนำ Past Tense (You ate dinner)  มาทำเป็น ==> Past Perfect  (you had eaten dinner) 3. มาทำอีกอันกันนะคะ She has broken up with her boyfriend. She has broken up with her boyfriend. ในตอนนี้เลย ก็เป็น Present Perfect เเละเราสามารถเปลี่ยน ให้เป็น .......................... . (เฉลย) She told me, she had broken up with her boyfriend. ซึ่งหมายความว่า เราทำ Present Perfect และเปลี่ยนให้เป็น  ==> Past Perfect (she had broken up) 4. มาทำกันอีกตัวอย่างนะคะ They can swim. เราจะเปลี่ยนประโยคนี้ยังไงคะ .................................. . (เฉลยค่ะ) เอาหละ อย่างนี้ค่ะ They told me, they could swim. can  กลายมาเป็น ==> could They told me, they could swim. 5. มาทำกันอีกตัวอย่าง ในรูป Future Tense กันค่ะ He will pass the exam. He will pass the exam. .................................... . (เฉลยค่ะ) เราจะเปลี่ยนประโยคนี้อย่างไรคะ He told me, he would pass the exam. โอเคนะคะ ชั้นรู้ค่ะว่ามันสับสนนะคะ ดังนั้นถ้าคุณทำผิดเรื่องนี้นะคะ นั่นหมายความว่าคุณต้องทบทวนหลักไวยากรณ์รูป Tense ต่างๆค่ะ แล้วคุณจะสามารถเข้าใจมันนะคะ โอเคนะคะ ตอนนี้ แน่นอนค่ะว่า ถ้าคุณไม่ทำการเปลี่ยนแปลง(รูป Tense)เช่นนี้ ในReported Speech ไม่ใช่ว่าคนอื่น(ฟังแล้ว) จะไม่เข้าใจคุณนะคะ เค้าเข้าใจคุณค่ะ แต่ถ้าคุณอยากให้เค้าเข้าใจอย่างถูกต้องชัดเจนในแง่หลักภาษาอังกฤษแล้ว คุณต้องเปลี่ยน(รูป Tense พวกนี้ ) ในReported Speech ค่ะ โอเคนะคะ ก็.. โชคดีกับเรื่องนี้นะคะ ชั้นทราบว่าคุณต้องเปิดกว้าง(เรียนรู้)เรื่องแกรมม่ามากขึ้น ทบทวนเรื่อง Tense ต่างๆ  ชั้นแน่ใจว่าคุณทำได้ค่ะ alright ถ้าคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ หรือข้อสงสัยต่างๆ เกี่ยวกับภาษาอังกฤษที่เราสามารถช่วยคุณได้นะคะ  กรุณา(เมคชัวร์ว่า)ไปที่เว็บไซด์ของเราที่อิงวิด เรามีฟอร์มต่างๆที่นั่น คุณสามารถถามคำถามต่างๆกับเรา และเรายินดีจะช่วยคุณนะคะ ถ้าเราสามารถช่วยได้ โอเคนะคะ ขอบคุณมากค่ะ ลาก่อนนะคะ แก้ไขเมื่อ 17 มี.ค. 55 05:37:44 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 01:08:45

ความคิดเห็นที่ 10   คำพ้องเสียงที่มักใช้สับสน  Confused Words: WHO'S & WHOSE   สวัสดีค่ะ ดิชั้นรีเบคก้า และบทเรียนวันนี้เราจะพูดถึงคำปกติที่มักใช้กันสับสนในภาษาอังกฤษนะคะ คำเหล่านี้เราเรียกว่าคำพ้องเสียง คำพ้องเสียงคืออะไร คำพ้องเสียงก็คือคำที่มีเสียงเหมือนกับคำอื่น แต่มีความหมายที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง มักจะสะกดต่างกันด้วยค่ะ   สำหรับคุณมันสำคัญมากนะคะ ที่จะสามารถบอกความต่างระหว่างคำแต่ละคำเหล่านี้ได้ เพราะเมื่อคุณทำผิด(ใช้ผิด) ปกติมันมักจะเป็นคำพื้นฐาน(ที่พบบ่อยหรือใช้บ่อย) คุณต้องแน่ใจว่าคุณไม่เสียแต้มคะแนนในการเขียนเอสเสย์หรือการทำข้อสอบ โดยการทำผิดด้วยคำเหล่านี้ ซึ่ง(มันเป็นคำที่)ง่ายมากๆ(และไม่ควรจะผิด) โอเคนะคะ ดังนั้นเรามาดูกันที่คำสองคำ ที่นักเรียนอีเอสแอล(นักเรียนที่เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง) เรามักสับสนกันอยู่บ่อยครั้ง บางครั้งกระทั่งเจ้าของภาษาเองก็ใช้ผิดค่ะ มาดูกันค่ะ WHO'S & WHOSE   คำแรก คือ WHO'S และคำที่สองก็(ออกเสียงเหมือนกันว่า) WHOSE  (ด้วย) ดังที่คุณเห็นนะคะ ว่า 2 คำนี้ออกเสียงเหมือนกันมากค่ะ แต่ความหมายต่างกันโดยสิ้นเชิงนะคะ คำแรก WHO'S เป็นรูปย่อ ของคำ 2 คำ ค่ะ who is ใช่มั๊ยคะ แต่เมื่อเวลาเราพูดเข้าด้วยกันและ(พูด)อย่างเร็วๆแล้ว เราพูดว่า WHO'S ตัวอย่างของคำนี้ สามารถเป็นคำถาม หรือ สเตทเม้นท์   (1.) โดยการเป็นคำถาม ดิชั้นหมายถึงอะไรอย่างนี้... - Who's the boss? ใครเป็นบอส?, Who's your friend? ใครเพื่อนเธอ?, Who's in charge of this department? ใครสั่งการแผนกนี้คะ?,   ในแต่ละตัวอย่างนี้ ความหมายจริงๆเราจะบอกว่า  Who is in charge? Who is your friend? ใช่ไหมคะ   (2.) เรายังสามารถใช้ประโยคบอกเล่าธรรมดาด้วยคำว่า WHO'S  ได้ด้วย... He's the man who's in charge of this department. He's the man who is or who's in charge of this department. โอเคนะคะ ดังนั้น นั่นคือคำแรก   WHOSE คำที่สอง เป็นคำ Relative Pronoun ( คำสรรพนามเชื่อมความ ) เรียกว่า WHOSE   (ใช้เมื่อ) อ้างถึงบางอย่างที่เป็นของของบางคน หรืออีกคำหนึ่งคือ การแสดงความเป็นเจ้าของ   สำหรับตัวอย่างนะคะ Whose book is this?  หนังสือนี่ของใครกันคะ? Whose house is this? (แปลเอง).......................... . .............................. ? รถนี่ของใครคะ?      โอเคนะคะ I'm the man whose car is parked over there. ชั้นเป็นชายคนที่รถจอดอยู่โน่นไง ดูเราจะตัวอย่างกันอีกครั้ง ด้วยประโยคคำถามต่างๆนะคะ ตอนนี้เราจะทำแบบฝีกหัดเล็กๆน้อยๆ ชั้นจะพูด ประโยคซัก 2 - 3 ประโยคนะคะ แล้วให้คุณบอกชั้นว่าอันไหนจาก WHO'S หรือ WHOSE ที่จะใช้(เติม) ในประโยคนะคะ ( WHO'S หรือ WHOSE )   1. มาเริ่มกันที่ ตัวอย่างแรกนะคะ ...... the General Manager of the company? (เฉลย) (.......ผู้จัดการทั่วไปของบริษัท?) อันไหนคะ ทราบมั๊ย? อันแรกค่ะ WHO'S WHO'S the General Manager of the company? (ใครเป็นผู้จัดการทั่วไปของบริษัท?) ดีมากค่ะ   2. มาทำข้อ 2 กันนะคะ Let me introduce Mr. William ....... the main speaker at the conference. อันไหนคะ ทราบมั๊ย (เฉลย) โอเค  ถ้าคุณเลือกอันแรก WHO'S คุณถูกค่ะ Let me introduce Mr. William WHO'S the main speaker at the conference. ขอชั้นแนะนำคุณวิลเลียม ผู้ซึ่งเป็นผู้กล่าวหลัก ในการประชุม โอเคนะคะ มาทำเพิ่มกันค่ะ   3. They announcing the name of the passenger  ...... suitcases were lost. อันไหนคะคราวนี้ ทราบมั๊ยคะ? (เฉลยค่ะ) คิดว่ายังไงคะ เราพยายามแสดงความเป็นเจ้าของ They announcing the name of the passenger  WHOSE suitcases were lost. (พวกเค้าประกาศชื่อผู้โดยสารที่เป็นเจ้าของกระเป๋า(หลายใบ)ที่หาย) กระเป๋าเดินทางเหล่านั้นที่หาย เป็นของผู้โดยสาร ดังนั้นเรา ใช้อันนี้ค่ะ (WHOSE) โอเคนะคะ ดีมากค่ะ   คุณถูกใช่มั๊ยคะ คุณมาถูกทางแล้วค่ะ(คุณเข้าใจวิธีใช้ถูกต้องแล้วค่ะ) ก็ทำต่อไปนะคะ(พยายามเข้าใจอย่างนี้ต่อไปและทำแบบฝึกหัดต่อไปนะคะ)   ถ้าคุณสับสน(ว่าใช้ยังไงกันแน่) ก็อย่ากังวลค่ะ มันเกิดขึ้นได้ค่ะ แค่ฝึกฝนมากๆ เขียนตัวอย่างหลายๆแบบที่แตกต่างกัน ลงเยอะๆ หาคนมาช่วยตรวจสอบ(แกรมม่าเวลาคุณทำแบบฝึกหัด) หรือ(มาช่วย)สอนคุณ คุยกับคนสอนคุณที่คุณรู้จักนะคะ เอาหละ แล้วคุณก็จะสามารถเข้าใจ(สิ่งเหล่านี้)ได้ค่ะ ซักครู่ดิชั้นจะกลับมานะคะ ชั้นจะให้คุณสรุปทวนอันสุดท้ายแบบแบบฝึกหัด คุณสามารถเตรียมหยิบกระดาษ ปากกา มาเขียนลง นะคะ เดี๋ยวแป๊บนึงเจอกันค่ะ -*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*   เอาละค่ะ คุณพร้อมสำหรับแบบฝึกหัดเล็กๆน้อยๆ หรืออะไรที่ให้ไปเตรียมมามั๊ยคะ โอเคค่ะ เขียนลงนะคะ ......... the person .......... picture is in the paper? ระหว่างที่คุณเขียนลงนะคะ ชั้นก็จะเขียนบนกระดานค่ะ แล้วเราก็สามารถ(เอามา)เทียบกันได้ (เฉลยค่ะ) คุณได้เหมือนชั้นมั๊ยคะ Who's the person whose picture is in the paper? (ใครคือคนที่รูปเค้าลงหนังสือพิมพ์?)   มารีวิวกันนะคะ คำแรก Who's มาจาก who is (แปลว่า  ใครคือ) เป็นคน คำที่สอง whose คำแสดงความเป็นเจ้าของ   เมื่อเราพูดถึง the paper แน่นอนว่า หมายถึงหนังสือพิมพ์ค่ะ หลายๆครั้งเราไม่พูดว่า newspaper มันยาวไป เราพูดแค่  the paper ซึ่งมันหมายถึง หนังสือพิมพ์ค่ะ   มันเป็นการฝึกการออกเสียงที่ดีใช่มั๊ยคะ Who's the person whose picture is in the paper? คุณอาจฝึก(ออกเสียงดู)นะคะ อยากลองฝึกอีกครั้งมั๊ยคะ Who's the person whose picture is in the paper? ดีค่ะ   เอาหละค่ะ ดิชั้นหวังว่า บทเรียนนี้จะช่วยคุณนะคะ ถ้าคุณมีคำถามใดๆ เกี่ยวกับบทเรียนนี้ หรืออะไรต่างๆเกี่ยวกับภาษาอังกฤษ ดิชั้นยินดีจะช่วยคุณนะคะ กรุณาเยี่ยมเราได้ที่เว็บอิงวิดค่ะ แล้วเจอกันใหม่นะคะ ตอนนี้ลาก่อนค่ะ (สวัสดีค่ะ) แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 55 07:02:56 แก้ไขเมื่อ 17 มี.ค. 55 06:33:09 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 01:10:40

ความคิดเห็นที่ 11 เพลงจากชาลีค่ะ Bread Charlie Mcdonnell — Bread lyrics Her name was Flora Spread And she lived on Hovis Hill, Overlooking Baker Town From the window of her flour mill. The bright lights of the city Fueled her longing to create With the innovative bakers With whom she knew she could relate. She saw the cakes they cooked And the muffins that they made But she kept on beating her bread, All the while feeling betrayed That her mother left her in this mess Of yeast, flour, and dough; She must taste inspiration and stop Chewing the bread of woe-oe-oe-oe-oe. Woe-oe-oe Down in Baker Town lived Victoria Sponge But her cakes just weren't selling So she knew that it was Time to take a plunge Into the new And see things from a brand new view: "And yes, young miss Flora, I am talking to you. [ Lyrics from: http://www.lyricsty.com/charlie-mcdonnell-bread-lyrics.html ] Won't you come down that hill of yours And work here in my shop? You might have to bake Until the ovens pop But I need your creative eye; With my wisdom and your innovation Together we can bake The perfect success pie-ie-ie-ie-ie." Success pie Success pie-ie-ie Bread. Bread! After just one week in that shop, Flora's business was booming, Her creativity blooming, And her customers consuming, But looming on the horizon Lay a rising problem: People couldn't stop eating And there was nothing that could stop them. What was once a people Of pretty balanced diets, Baker Town without it's bread Was revolution without riots. Flora closed her shop down But she knew it was too late, And soon enough the population of the town Was overwei-eigh-eigh-eigh-eight. Overweight Overwei-eigh-eigh-eigh-eight Bread. Bread! And so the very next day Flora went back to her mill And opened up her bread shop But it seemed, to Flora's dismay, That no one wanted her bread And she was left alone up the hill top. Victoria Sponge kept on baking With recipes she stole from Flora's notes And Flora's heart kept breaking As the cakes continued rising... And the bread... Became toast. จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 01:19:20

ความคิดเห็นที่ 12 นี้คือทางไปแชนแนลทั้งหมดของชาลีค่ะ http://www.youtube.com/user/charlieissocoollike/videos?sort=p&view=0&page=2 This Is Me (Medley) จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 01:24:34

ความคิดเห็นที่ 13 Landmark Rush จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 01:27:22

ความคิดเห็นที่ 14 มาฝึกออกเสียงกันค่ะ How to pronounce TH, S, F sounds in English จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 01:33:41

ความคิดเห็นที่ 15   ทำอย่างไรให้เรียนภาษาอังกฤษให้เพิ่มประสิทธิภาพ  How to maximize your English learning   สวัสดีครับ ปกติผมจะอ่านหนังสือ แต่ตอนนี้กำลังสนุกกับการวาดรูปน่ะครับ ผมชอบเพิ่มประสิทธิภาพเวลาของผม ตอนที่ผมอ่านหนังสือน่ะครับ (จำมิสเตอร์อีได้มั๊ยคะ) ตอนนี้มิสเตอร์อีอยู่ที่นี่ด้วย และเราจะใส่หมวกบัณฑิต (หมวกปริญญา)ให้มิสเตอร์อีด้วย  (เป็นศาสตราจารย์อีแล้ว) ตอนนี้เค้าอยู่ในโรงเรียน   สิ่งที่เค้ารู้ คือ เค้าออกแบบว่าจะทำอย่างไรให้ช่วยให้เรียนภาษาอังกฤษให้เพิ่มประสิทธิภาพ   มี 5 วิธีพื้นฐานสำหรับเริ่มต้นภาษาอังกฤษ มันไม่ฆ่าคุณหรอกครับ แต่อันที่จริงแล้วมันกลับ สนุกขึ้น, คุณจะเก็บข้อมูล และทำให้คุณมีแรงจูงใจครับ  unconscious learning ==> engage  be active                   ==>   participate  understand it             ==>  change the context  useful                        ==>  find its application = apply it  use                            ==>  use it   1. unconscious learning ==> engage unconscious = คนเมา ไม่รู้สึกตัว unconscious = ทุกๆอย่างที่อยู่รอบตัวคุณในภาษาอังกฤษ ผมเคยไปเมกซิโก ซึ่งทุกอย่างเป็นสแปนิช(ภาษาสเปน) พอเห็นป้ายนึงว่า ฟาร์มาซูติก้า มันเริ่มเมคเซนซ์ ฟาร์มาซูติก้า = นั่นคือ ฟาร์มาซิสท์ มันเริ่มเมคเซนซ์  บางอย่าง ไม่ใช่ทุกอย่างนะครับ แต่ผมเริ่มเรียนอย่างไม่รู้สึกตัว ผมเห็นสิ่งนึง แล้วผมก็เริ่มเข้าใจว่ามันนำเสนอสิ่งๆนึง ฟาร์มาซี  =  ฟาร์มาซูติก้า = ฟาร์มาซูติฟาร์มาซูติคอล ผมเก็ทละ นั่นคือ ฟาร์มาซี ในภาษาอังกฤษ ดังนั้นอย่างสะเปะสะปะ(กระจัดกระจาย ตรงข้ามกับ เรียนอย่างมีสมาธิ มีสติ ตั้งใจ )  ผมรับข้อมูลและรับมันเข้ามาในสมอง ดังนั้นพวกนี้คือสิ่งที่เราหมายถึง unconscious learning นะครับ และสิ่งที่คุณต้องทำคือ  ==> engage engage ตัวคุณเข้ากับสิ่งที่อยู่รอบตัวคุณน่ะครับ (เหมือนเราแต่งงานกับสิ่งที่อยู่รอบตัวเราน่ะ แบบ มีความระแวดระวัง สนใจสิ่งรอบตัวตลอดเวลาอะ เราใช้คำพูดไม่ถูก) unconscious learning ==> engage   สิ่งที่อยู่รอบตัวคุณ ถ้าคุณเรียนภาษาอังกฤษในชาติที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก ก็ให้เข้าหา หนังสือต่างๆ รูปภาพต่างๆ หนังต่างๆ เพลงต่างๆ ให้มันแวดล้อมอยู่รอบๆตัวคุณ ทุกอย่างอยู่รอบๆตัวคุณ อย่างเปิดเพลงเป็นแบคกราวด์ (อยู่ข้างหลัง) อย่างเพลงไมเคิล แจคสัน  Beat it! Beat it! คือคุณฟังภาษาอังกฤษ ให้มันเข้าหัวคุณ ทำให้มันง่ายเข้าและมันพร้อมที่จะ(เปิดรับเพื่อ)เรียนภาษาอังกฤษ ทำให้สมองคุณรู้สึกสบายๆ เปิดรับให้(การเรียนรู้ภาษาอังกฤษ)มันเข้ามา นี่เรียกว่า unconscious learning (เรียนโดยที่เราไม่รู้ตัว) ดังนั้น(สร้างบรรยากาศ/สิ่ง)แวดล้อมรอบตัวคุณด้วยภาษาอังกฤษ ถ้าคุณอยู่ในอินเดีย คัมโบเดีย ไทยแลนด์ สิ่งที่คุณทำคือทุ่มเทตัวคุณกับมันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในสิ่งแวดล้อมของคุณ เพื่อ (สร้างบรรยากาศ/สิ่ง)แวดล้อมรอบตัวคุณ ให้คุณเรียนโดยที่เราไม่รู้ตัว unconscious learning   บางครั้งการเรียนโดยที่เราไม่รู้ตัว(unconscious learning) ก็ดีกว่าการเรียนโดยที่เรารู้ตัว(ตั้งใจเรียนธรรมดา)(conscious learning)  เช่นพวกแกรมม่า(หลักภาษาอังกฤษ), คำศัพท์ เพราะคุณได้ยินภาษา(จากพวกสื่อต่างๆอย่างที่กล่าวไป)อย่างคล่องๆ ว่าเราใช้ภาษา(อังกฤษคล่องๆ)อย่างไร เอาละครับ ข้อต่อมาครับ   2. be active   ==>  participate be active ความกระฉับกระเฉง ตื่นตัว กระหายใคร่รู้   ((1.) ต้องตื่นตัวอยากรู้อยู่ตลอดเวลาครับ) ถ้าคุณเรียนภาษานี้ คุณไม่สามารถ ไม่ active เรามีควิซ(แบบทดสอบต่างๆ) กระดานทั่วไป ใช้มันครับ ถ้าผมไม่ว่าง ให้ถามอาจารย์ท่านอื่น ต้องตื่นตัวอยากรู้อยู่ตลอดเวลาครับ the more active you are, the more engage you are, the more interested you are = your brain is ready to retain(รับ) and take that information in. ยิ่งคุณแอคทีฟมากเท่าไหร่, ทุ่มเทมากเท่าไหร่, สนใจ(ในภาษาอังกฤษ) มากเท่าไหร่  =  สมองคุณก็จะพร้อมจะรับข้อมูลเข้าไปมากเท่านั้นครับ   ((2.) participate เข้าร่วม เข้าไปมีส่วนร่วม ) จุดที่สอง ถ้าคุณเข้าเรียนคลาสภาษาอังกฤษ มันดีครับ ให้ be active มีความกระตือรือร้น ผมมีการบ้าน  5 ข้อ ให้คุณกลับไปทำ ถ้าคุณกลับบ้านแล้วไม่ทำ ให้ลงโทษตัวเองเลยครับ คุณเสียทั้งเงินและเวลา สมองคุณไม่ได้จดจ่ออยู่ที่นั่น ดังนั้น สิ่งที่ผมอยากให้คุณทำคือ กระตือรือร้นตื่นตัวอยู่ตอดเวลา(หมายถึงอ่าน ฝึก และทำแบบฝึกหัดอยู่สม่ำเสมอ)   be active in class 1. make you interested in what you doing (ต้อง)ทำตัวเองให้สนใจในสิ่งที่คุณกำลังทำ 2. the teacher become interested in you ครูจะหันมาสนใจ(การเรียน)ของคุณ ถ้านักเรียนหมั่นมาถามผมบ่อยๆ ผมจะจำนักเรียนคนนั้นได้ครับ และผมจะสนใจในนักเรียนคนนั้นมากขึ้นครับ (ช่วยตอบคำถาม ช่วยอธิบาย) be active   ==>  participate เข้าร่วม เข้าไปมีส่วนร่วม 3. students noticed you  (เพื่อน)นักเรียนจำคุณได้ และเมื่อ(เพื่อน)นักเรียนจำคุณได้ ว่าคุณถามคำถามต่างๆ บางครั้งเค้าจะคิดว่าคุณเป็นนักเรียนที่สมาร์ท เค้าจะมาคุยกับคุณมากขึ้น  ทำให้คุณได้ฝึกฝนและเรียนรู้มากขึ้นครับ   3. understand it   ==>  change the context แล้วข้อต่อมาล่ะครับ understand it หลายๆครั้ง ในคลาสสอนคำศัพท์ ตัวอย่างคือ มีนักเรียนคนหนึ่งถามว่า green แปลว่าอะไรครับคุณครู แล้วนักเรียนอีกคนบอกว่า  อีเดียท กรีนคือสีเขียวสิ ทุกคนรู้อยู่แล้วนี่ (ว่าคนอื่นว่าทำไมไม่รู้) ผมบอกว่า ขอโทษนะครับ คุณผิดครับ green ไม่ใช่แค่สีเขียว   - ในแคนาดา green หมายถึง environmentally good - ยังหมายถึง brand new in expressed to what it happening และนักเรียนคนนั้นบอก จริงหรอครับ และนั่นยังไม่ใช่แค่ 2 อย่างในความหมายของ green - green ยังหมายถึง money (เงิน) อีกด้วยครับ   ดังนั้นเมื่อพูดถึง green ผมให้คุณ - green = money   Do you like some green? - He's green. = He has no experience for the job. - green = environmentally friendly - green = the color ดังนั้น understand it เข้าใจมันครับ และเราจะเข้าใจมันได้อย่างไรครับ ทำในทางที่ง่ายครับ สิ่งที่ผมอยากให้คุณทำคือ = change the context เปลี่ยนปริบท(คำที่อยู่แวดล้อม) ครับ ทุกๆ คำมีความหมาย ในภาษาอังกฤษ คำ 1 คำ อาจมี 2,3,4... ความหมายครับ ในปริบทเดียวกันก็จะมีความหมายเหมือนกัน และบางครั้งอาจทำให้คุณเข้าใจคลาดเคลื่อน ผมอยากให้คุณเข้าใจโดยเปลี่ยนปริบท (คำที่อยู่แวดล้อม)  ครับ You see the new guy? Yeah! He's a little green. Don't worried. We'll work with .. . อืมแปลกนะ เค้าไม่ได้ดูเขียวนะ แล้วอะไรที่จะมีความหมายที่เป็นไปได้ล่ะ... และบางคนอาจคิดจากประสบการณ์... เค้ามาใหม่  สีเขียวก็เหมือนกับหญ้า เมื่อดอกไม้จะเริ่มบาน ตอนแรกมันจะมีสีเขียวก่อน อ๋อ... เข้าใจละ (แปล - คุณเห็นผู้ชายคนที่มาใหม่มั๊ย He's a little green.(เค้าค่อนข้างใหม่นะ) อย่ากังวลไป เราจะช่วยกันปรับแก้ ปรับปรุง พัฒนากันไป) หรือถ้าผมพูดว่า It's a green bag, you can use it several times, don't just throw it out อ๋อ... เข้าใจละ (ในที่นี้ green = environmentally friendly) (แปล - มันเป็นถุง (แบบถุงผ้า ถุงรีไซเคิล หรือรียูส ที่นำมาใช้ซ้ำ) คุณสามารถใช้มันได้หลายๆครั้ง อย่าทิ้งครับ) แล้วผมคุณสีอะไร เขียวใช่มั๊ย คุณก็เข้าใจ (ในที่นี้ green = the color)   ดังนั้น เมื่อคุณอยากจะแน่ใจว่าคุณเข้าใจถูกมั๊ย ก็ให้เปลี่ยนบริบท แล้วดูว่าคุณยังเข้าใจความหมายหรือไม่  เพราะว่าคำหนึ่ง(บางที)มันมีหลายความหมาย (เหมือนตัวอย่างหลายๆอันข้างบนที่ให้ไป ที่เปลี่ยนบริบทของคำว่ากรีน เพื่อทดสอบดูความหมายว่าตรงกับความหมายอันไหนของกรีน) ต่อมา   4. useful   ==>  find its application = apply it make it useful ถ้าเราเห็นมันมีประโยชน์และเข้าใจความหมายมัน ทำให้มันจำได้ ก็จะจำได้   แล้วเราจะ apply(เอาไปประยุกต์ใช้) ให้ได้คล่องๆ ได้ยังไง ก็ต้องเข้าใจความหมาย(ต่างๆของ)คำศัพท์ครับ และในท้ายสุด   5. use   ==> use it มันเหลือเชื่อครับ นักเรียนหลายๆคน เวลาผมสอนก็จะเขียนมันลง แล้วเค้าก็ปิดสมุดลง แล้ว มันก็จะอยู่ในสมุด แล้วก็ทิ้งสมุดลงถังขยะไป เค้าไม่เคยอ่านมันอีกเลยหลังจากนั้น 6 เดือนต่อมา เฮ้ย ชั้นลืมคำนี้ ครูเคยสอนชั้นแล้ว  ชั้นต้องจำได้สิ โอ้ย ชั้นเขียนมัน 5 รอบ   เอาหละ use it ใช้มันครับ เช็คปริบท เช็คกับอาจารย์ เช็คกับเพื่อนๆ ให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจมัน ต้องเข้าใจประโยชน์ของมัน และคิดว่าจะใช้ให้มันเกิดประโยชน์ได้อย่างไร กรีน ยังหมายความว่า ขวดเบียร์หรือขวดวอดก้า ได้อีกด้วยนะครับ ดังนั้น ใช้มันครับ  ออกไปและใช้มันในโลกจริงๆ (ในสังคมจริงๆ) นี่คือความลับอันใหญ่ครับ เมื่อสมองคุณพบว่ามันมีประโยชน์(ได้ใช้ประโยชน์) สมองคุณจะไม่ลืมมันครับ ง่ายๆครับ ผมจะให้สิ่งที่เป็นประโยชน์มากๆกับคุณนะครับ ผมทำให้คุณเข้าใจ  (understand ตามข้อ 3) ==>  โดยการสอนบทเรียนนี้กับคุณครับ ผมทำให้มันจำเป็น/มีประโยชน์กับคุณ  (useful ตามข้อ 4) ==>  โดยให้คุณ 1 คำ ซึ่งผมยังไม่ได้สอนคำศัพท์เลยนะครับ แต่ผมได้ให้คุณ 3 - 4 ความหมายของคำนั้นครับ และผมเปิดโอกาสให้คุณใช้มันครับ โดยเข้าไปที่เว็บอิงวิดและทำแบบฝึกหัด ผมขอให้คุณมีวันที่ดีนะครับ ผมหวังว่ามันจะเป็นประโยชน์กับคุณนะครับ ผมแน่ใจว่างั้นนะครับ แล้วเจอกันใหม่ครับ สรุป How to maximize your English learning ทำอย่างไรให้เรียนภาษาอังกฤษให้เพิ่มประสิทธิภาพ 5 วิธีพื้นฐานสำหรับเริ่มต้นภาษาอังกฤษ 1. unconscious learning ==> engage 2. be active                   ==>   participate 3. understand it             ==>  change the context 4. useful                        ==>  find its application = apply it 5. use                            ==>  use it   เชิญทำแบบฝึกหัด ที่นี่จ้า คลิกไปแล้ว แบบฝึกหัดอยู่ใต้รูปอะค่ะ http://www.engvid.com/maximize-english-learning/ แก้ไขเมื่อ 22 มี.ค. 55 11:36:22 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 01:38:41

ความคิดเห็นที่ 16 6 phrases in English using IT'S จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 01:40:35

ความคิดเห็นที่ 17 มาเรียนสำนวนกันบ้าง สั้นๆค่ะ  มีตัวอย่างให้ด้วย IDIOMS - FOR AGES จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 01:43:18

ความคิดเห็นที่ 18 IDIOM - UNDER THE WEATHER จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 01:44:48

ความคิดเห็นที่ 19 IDIOM - PULL SOMEONE'S LEG จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 01:45:31

ความคิดเห็นที่ 20 Greetings จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 01:46:51

ความคิดเห็นที่ 21 Saying Good-bye จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 01:47:38

ความคิดเห็นที่ 22 Telephone Talk จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 01:48:28

ความคิดเห็นที่ 23 มาทำแบบฝึกหัดกันค่ะ VERB TO BE - EXERCISE 1 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 01:49:33

ความคิดเห็นที่ 24 VERB TO BE - EXERCISE 2 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 01:50:33

ความคิดเห็นที่ 25 VERB TO BE - EXERCISE 3 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 01:51:11

ความคิดเห็นที่ 26 VERB TO BE - EXERCISE 4 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 01:51:55

ความคิดเห็นที่ 27 VERB TO BE - EXERCISE 5 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 01:52:43

ความคิดเห็นที่ 28 มาพักฟังนิทานประกอบเพลงพร้อมซับไตเติลกันจ้า ชอบเสียงนกร้องในคลิปอ้ะ เหมือนนกจริงมาก Turtle's Flute: Learn English with subtitles แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 55 06:32:10 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 01:59:08

ความคิดเห็นที่ 29   BookBox is a web-based jukebox of digital books in over 30 languages. It synchronizes the text, audio, and visual to create an educational and entertaining reading experience for children and adults!   เพลย์ลิสต์ของนิทานการ์ตูน + เพลง + ซับไตเติ้ล นี้ดีมากนะคะ มีในภาษาอื่นๆด้วย  ทั้งจีน อินเดีย สแปนิช เยอรมัน ฝรั่งเศส รัสเชีย และอื่นๆ ใครสนใจเรียนภาษาที่สาม สามารถไปฝึกได้ที่นี่ค่ะ http://www.youtube.com/playlist?list=PL1ECF842014D455FD มาดูกันอีกเรื่องนึงจ้า เพลงเพราะอีกแล้วTucket the Bucket: Learn English with subtitles จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 02:17:29

ความคิดเห็นที่ 30 อีกเรื่องจ้า The Elves and the Shoemaker: จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 02:18:40

ความคิดเห็นที่ 31 คลิปฝึกภาษาอังกฤษกับสถาบันEF (Education First) คราวนี้มาฟังบทสนทนาสั้นๆกัน ฝึกฟัง ฝึกการสนทนา เค้ามีถามคำถามด้วย ฝึกตอบคำถาม ทวนแกรมม่า และสังเกตการออกเสียงคำท้ายประโยค Learn English 14 - Crime Learn to ask and answer yes/no questions in the past tense  in English using "did" and "didn't".  In this beginner English lesson you will see a cyclist reporting a bicycle theft.  He answers the police officer's questions using the past tense. แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 55 06:34:11 แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 55 02:29:04 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 02:24:02

ความคิดเห็นที่ 32 คลิปฝึกภาษาอังกฤษกับสถาบันEF (Education First) อันนี้คอนเสปท์ เหมือนอันข้างบนเลยค่ะ ลองดูอีกซักอัน ฝึกตอบคำถาม ฝึกการใช้ประโยครูปอดีต ฝึกจำประโยคตัวอย่าง ฝึกพูดตามนะคะ สังเกตการใช้คำถามด้วย  "when" และ "where", และตอบด้วย "in" และ "at" ฝึกตอบคำถามนักท่องเที่ยว Learn English 15 - Talking about the past Learn to ask questions using "when" and "where" in English, and to answer those questions using "in" and "at". In this beginner English lesson you will see a tourist asking for information about sights in the city. You will learn the grammar points needed to correctly construct questions about location and time. แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 55 06:37:45 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 02:27:56

ความคิดเห็นที่ 33 ทวนบทสนทนากันอีกซักหน่อย มาถึงตอน 2 กันแล้วค่ะ English Communication Skill part 2-1 At The Travel Agent แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 55 06:40:16 แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 55 06:38:28 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 02:35:48

ความคิดเห็นที่ 34 English Communication Skill part 2-2 At The Airport แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 55 06:39:04 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 02:37:08

ความคิดเห็นที่ 35 ดิสนีย์ค่ะ แบบง่ายๆฟังเพลินๆ การ์ตูนก็น่ารัก มีเพลงด้วย เหมือนเราดูการ์ตูนดิสนีย์เลยค่ะ เข้าใจง่าย ดูสบายๆ เพลินมาก 05 Animal Friends - Magic English - Disney แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 55 06:42:01 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 02:43:45

ความคิดเห็นที่ 36 และนี้คือทางไปคลิปทั้งหมดของ ดีสนีย์ มีทั้งหมด 32 คลิปจ้า http://www.youtube.com/user/osiemach#g/u ปกติ เราลงลิงค์เยอะมาก ทางไปนั่นนี่ แต่ต่อไปไม่ต้องแล้ว เพราะเรารวมไว้ในเพลย์ลิสต์เราแล้ว :)) อีกตอนนึงค่ะ 06 It's Delicious - Magic English - Disney แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 55 06:42:55 แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 55 05:15:19 แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 55 05:14:10 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 02:45:38

ความคิดเห็นที่ 37 วันนี้พอแล้วดีกว่า เพราะรู้สึกว่าเยอะแล้ว ฝากเพลย์ลิสต์ละกัน อยากดูเพิ่ม ไปดูในเพลย์ลิสต์ได้ เราทำเพิ่มเป็นหมวดหมู่ อย่างเช่นข้างล่าง แยกตามอาจารย์ๆ  หรือตามที่มา ออกมาเป็นหลายเพลย์ลิสต์เลยค่ะ ของมิสเตอร์ดันแคนมี 70 คลิป สนใจจะไปดูก่อนก็ได้ ไม่ต้องรอเรา หรือ พวก ดิสนีย์ และ นิทาน และอีเอฟ และคอนเวอร์เซชั่น (คือทุกอย่าง) ที่ปกติเราจะทำลิงค์ให้ตามไปดู อยู่กระจัดกระจายกัน เราก็ไปเอามาทำเพลย์ลิสต์ไว้แล้ว ซึ่งมันก็สะดวกต่อการเรียนเองมากๆ ค่อนข้างหลากหลายด้วยอะค่ะ ทั้งง่ายทั้งยาก ทั้งเริ่มต้น ไปจนกลางๆ ทั้งเพลง ทั้งดิสนีย์ นิทาน แบบฝึกหัด ฝึกเขียน พูดฟังอ่าน ฝึกตอบคำถามสัมภาษณ์งาน และอื่นๆ ก็ไปเรียนเองกันได้ ตลอด 24 ชม. เลยแล้ว http://www.youtube.com/user/lovelypriestplaylist?feature=mhee สัปดาห์นี้หมดแล้ว :))  พอก่อน เจอกันใหม่สัปดาห์หน้าจ้า บายจ้า อ้อ คนที่เริ่มเรียน สามารถ เสิร์ชกูเกิลได้จาก //english for the beginners// เป็นอีกช่องทางนึงจ้ะ แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 55 06:49:20 แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 55 05:19:59 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 04:49:09

ความคิดเห็นที่ 38 ขอบคุณที่อ่านมาอีกสัปดาห์นึงจ้ะ จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 05:17:13