ขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านกระทู้ในซีรี่ส์นี้
ผมใช้เวลาประมาณ 9 เดือนค่อยๆ เขียนกระทู้ในซีรี่ส์นี้ออกมา เพียงหวังว่าอาจจะไปช่วยจุดความหวังของสังคม ให้เราเห็นว่าหากเรากล้าจะเดินหน้ากันจริงๆ สังคมไทยก็ยังมีโอกาสดีๆ รออยู่ข้างหน้าอีกมากมาย แต่ก็นั่นแหละ ผมก็ได้แค่เสนอแนวทางตามความคิดเห็นของตนเอง ภายใต้ความรู้อันน้อยนิดของตนเอง ส่วนต่อไปสังคมนี้จะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับพวกเรากันเอง
หลายคนบอกว่า ผมเสนออะไรที่เกินตัวไปหน่อย "อย่าทำอะไรที่เกินตัว" จริงๆ เรื่องที่ผมเสนอนั้น ไม่ใช่เรื่องของผมเลย เป็นเรื่องของทั้งสังคมต่างหาก เรื่องที่เสนอมันใหญ่โตมโหฬารก็จริง แต่มันเป็นเรื่องของทั้งสังคม ไม่ใช่ตัวผม
ในฐานะคนตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ผมก็เลยลองนำเสนอซีรี่ส์กระทู้นี้ขึ้นมา ผมได้ใช้ทุกมุข ใช้ทุกสรรพกำลัง ใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมมีตลอดเวลาที่เล่นเว็บพันทิปมา 10 กว่าปี ในการพยายามผลักดันให้สังคมในวงกว้างได้มีโอกาสได้เห็น ได้อ่านในความคิดความเห็นของตนเองเท่าที่จะเป็นไปได้ ผมก็ได้ทราบว่า หลายเรื่องได้รับการนำไปพูดคุยกันต่อบ้างในระดับหนึ่ง ก็ถือว่าผมได้ทำตามกำลังสติปัญญาของตนเองอย่างดีที่สุดแล้ว
ต่อจากนี้ ก็ขึ้นอยู่กับสังคมไทยเราเองแล้ว มาจนถึงภาคนี้ ผมได้บทสรุปอย่างหนึ่งว่า สังคมไทยเป็นสังคมที่มีความหนืด (Viscosity) อยู่พอสมควร นั่นทำให้เราก้าวไปข้างหน้าได้ช้ามากๆ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ อย่างมาเลเซีย อินโดนีเซีย คงไม่ต้องไปพูดถึงประเทศระดับเทพในภูมิภาคอย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือสิงคโปร์ ผมมองประเทศจีน ที่ตลอดประวัติศาสตร์ของเขามีการปฏิวัติมากมายหลายครั้ง มองญี่ปุ่นที่ผ่านจุดล้มละลายภายหลังสงครามโลกมาได้ เลยคิดว่ามันอาจจะเป็นอย่างที่หลายๆคนพูดไว้ สังคมไทยเราสบายกันเกินไป สบายกันจนเคยตัว เราจึง"เฉย"ได้กับทุกเรื่อง แม้แต่เรื่องที่ตนเองได้รับผลกระทบมากที่สุด แต่เราก็ยังนิ่ง แต่ผมเชื่อว่า จุดสูงสุดแห่งความอดทน (Ultimate) ของคนเรามันก็คงต้องมีแหละ แต่อาจจะอยู่สูงจนเราไม่แน่ใจว่า สถานการณ์มันจะถักทอไปจนถึงจุดนั้นได้ไหม?
คนไทยเหมือนกบที่เขาต้มด้วยไฟอ่อนๆ จนน้ำในหม้อต้มเกือบจะเดือดปุดๆ อยู่รอมร่อ กบในหม้อต้มก็ยังไม่รู้สึกอะไร เพราะปรับตัวได้ แต่น้ำร้อนน้ำเดือดยังไงก็มีไม่ทางที่ผิวสัตว์จะทนทานได้ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง กบก็ต้องรู้สึกตัวเข้าสักวัน ว่ากำลังถูกต้ม แต่ถึงวันนั้นมันก็อาจจะสายเกินไป แต่สังคมทุกสังคมย่อมมีวิถีของตนเอง ย่อมมีทางออกของตนเองได้เสมอ ผมเชื่ออย่างนั้น ตถตา
ผมก็ทำได้เพียงเท่านี้ หากจะมีท่านที่ไม่พอใจ รู้สึกหมั่นไส้กับนายยังเกอร์ แพทเหลือเกิน ที่อาจหาญมานำเสนอแนวคิดอหังการ์เสียนี่กระไร ผมก็ต้องขออภัยด้วย หากจะมีท่านที่ชื่นชมอยู่บ้างผมก็ขอขอบคุณในความกรุณานั้น ที่ไม่ถือสาหาความกับคนหนุ่มๆ คนหนึ่ง ที่พยายามนำเสนอแนวคิดแนวทางของตนเอง ด้วยจิตที่หวังดีต่อสังคมนี้ร่วมกันครับ แต่มันก็ถึงเวลาอันสมควรที่ผมจะจบกระทู้ในซีรี่ส์นี้เสียที ขอขอบคุณอีกครั้งครับ
แก้ไขเมื่อ 07 ส.ค. 55 14:47:44
แก้ไขเมื่อ 07 ส.ค. 55 08:31:34