ข่าวการพบซากศพทารกถูกทำแท้งนับพันศพในวัดแห่งหนึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเป็นการบอกถึงความเสื่อมทรามทางศีลธรรมของสังคมไทย อย่างไม่อาจปฏิเสธได้ หากคนในสังคมและผู้มีความรับผิดชอบปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นต่อไปโดยไม่มีการแก้ไข ศีลธรรมที่เป็นพื้นฐานรองรับสังคมไว้ก็จะล่มสลาย และในไม่ช้า สังคมก็จะพังทลายโดยปริยาย
ซากทารกนับพันศพที่ถูกนำมาทิ้งบ่งบอกให้รู้ว่าสังคมไทยมีฆาตกรใจโหดมากกว่าซากศพทารกแฝงตัวอยู่ในสังคม ในจำนวนฆาตกรเหล่านี้มีผู้ลงมือทำแท้งทารกตามสถานที่ทำแท้งต่างๆจำนวนหนึ่ง อีกจำนวนหนึ่งคือผู้หญิงที่ตั้งครรภ์โดยไม่พึงประสงค์และไม่ต้องการจะเก็บลูกในครรภ์ของตัวเองไว้ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งคือผู้ชายที่ทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์ซึ่งบางคนมีส่วนในการร่วมมือกับผู้หญิงในการฆ่าทารกที่เป็นลูกของตัวเอง
เชื่อได้เลยว่านอกจากซากทารกนับพันที่ถูกพบนี้ ยังมีซากศพทารกถูกทำแท้งอีกมากมายที่ยังไม่มีการค้นพบ แต่ฆาตกรเหล่านี้ยังคงลอยนวลอยู่ในสังคม
ทุกศาสนาสอนเหมือนกันหมดว่าการฆ่าคือบาปใหญ่ แต่บาปที่มาก่อนการฆ่านั้นคือบาปแห่งการผิดประเวณีจากความสำส่อนที่สภาพสังคมไทยเอื้ออำนวยให้เกิดขึ้น
ปรากฏการณ์ฆ่าทารกมิใช่เพิ่งเกิดขึ้นในปัจจุบัน แต่มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต ก่อนหน้าสมัยท่านนบีมุฮัมมัดเมื่อประมาณ 1,400 กว่าปีที่แล้ว ชาวอาหรับมีธรรมเนียมเถื่อนในการฆ่าทารกเพศหญิงโดยการฝังทั้งเป็นเพราะชาวอาหรับดำรงชีวิตอยู่ในทะเลทรายที่แร้นแค้นและป่าเถื่อน
ทุกครอบครัวอยากมีลูกผู้ชายไว้สืบตระกูลและเป็นกำลังรักษาทรัพย์สินและครอบครัว การมีทารกเพศหญิงคือความอัปมงคลเพราะเป็นภาระต้องคอยเลี้ยงดู เมื่อเกิดศึกสงครามก็ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ หากถูกจับไปก็อาจตกไปเป็นทาสหรือเชลยที่ต้องนำเงินไปไถ่ตัวมา ดังนั้น ชาวอาหรับบางครอบครัวจึงนำทารกเพศหญิงไปฝังทั้งเป็น
แต่เมื่อท่านนบีมุฮัมมัดนำอิสลามมาเผยแผ่ ท่านได้เปลี่ยนความคิดของชาวอาหรับเสียใหม่ว่าทารกทั้งเพศหญิงและชาย คือของขวัญล้ำค่าจากพระเจ้า ที่ผู้เป็นพ่อแม่จะต้องปกปักษ์รักษา เพราะทารกทั้งเพศหญิงและชายล้วนมีชีวิตที่เป็นของพระเจ้า การฆ่าชีวิตทารกถือเป็นบาปใหญ่ที่จะต้องถูกสอบสวน และลงโทษในโลกหลังความตาย
ในเวลานั้น พระผู้เป็นเจ้าได้ประทานวจนะของพระองค์มายังท่านนบีมุฮัมมัดให้มาบอกชาวอาหรับได้รู้ถึงสภาพของมนุษย์ในวันแห่งการฟื้นคืนชีพว่า
เมื่อวิญญาณทั้งหลายได้ถูกนำมารวมกันอีกครั้งหนึ่ง(กับร่างกาย) ทารกหญิงที่ถูกฝังทั้งเป็นจะถูกถามว่า ด้วยความผิดอะไรที่เธอถึงได้ถูกฆ่า (กุรอาน 81:9) ทารกเพศหญิงที่ถูกฝังทั้งเป็นก็จะออกมาให้การและชี้ตัวผู้ลงมือสังหารตน
ด้วยความศรัทธาในการฟื้นคืนชีพหลังความตายและความกลัวถูกลงโทษอย่างสาหัสในโลกหน้าจากคำสอนดังกล่าว ธรรมเนียมการฆ่าทารกผู้หญิงจึงหมดไปจากคาบสมุทรอารเบียนับตั้งแต่อิสลามปรากฏตัวขึ้นเป็นต้นมา
ธรรมเนียมเถื่อนอาจหมดไปจากดินแดนอาหรับหลังสมัยอิสลาม แต่ธรรมเนียมเถื่อนนี้ใช่ว่าจะหมดไปจากมนุษย์ เพราะมันยังคงมีปรากฏอยู่ในอีกซีกโลกหนึ่งหลังจากที่โลกมีความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีเมื่อไม่กี่สิบปีนี้
ในประเทศจีน ซึ่งถูกจำกัดจำนวนบุตร สามีภรรยาแทบทุกคนอยากได้ลูกผู้ชายไว้สืบตระกูล เมื่อภรรยาตั้งครรภ์ สามีภรรยาที่อยากได้ลูกชายจะพากันไปให้แพทย์ตรวจครรภ์ด้วยเครื่องอุลตราซาวด์ เมื่อพบว่าทารกในครรภ์ของตนเป็นผู้หญิง สามีภรรยาบางคู่ก็จะจัดการทำฆาตกรรมลูกสาวในไส้ของตัวเองด้วยการทำแท้งทันทีโดยหวังว่าในการตั้งครรภ์คราวหน้า ตัวเองจะได้ลูกชาย
นี่เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าสันดานดิบของมนุษย์ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเป็นชนชาติใด ความแตกต่างกันระหว่างชาวอาหรับกับชาวจีนที่รังเกียจทารกเพศหญิงก็คือ ชาวอาหรับฆ่าทารกหญิงหลังจากที่ทารกเกิดมาแล้วเพราะไม่มีเครื่องมือทันสมัยตรวจเพศทารก
ในขณะที่ชาวจีนฆ่าทารกหญิงตั้งแต่อยู่ในครรภ์เพราะมีเครื่องมือทันสมัยกว่า
แต่สำหรับกรณีของสังคมไทยอาจแตกต่างไปจากสองกรณีดังกล่าวมาหลายประการ
ประการแรกก็คือ เชื่อได้เลยว่าซากศพทารกที่ถูกทำแท้งและนำมาทิ้งนั้นมีทั้งเพศหญิงและเพศชาย เพราะผู้หญิงที่มาทำแท้งนั้นไม่ต้องการทารกในครรภ์ไม่ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือเพศชาย ผิดกับสองกรณีแรกที่รังเกียจแต่เฉพาะเพศหญิงเท่านั้น
ประการที่สอง ทารกเพศหญิงที่ถูกทำแท้งในสังคมอาหรับและสังคมจีนเป็นทารกที่เกิดขึ้นในครอบครัวที่มีการแต่งงานเป็นสามีภรรยากันแล้ว แต่ทารกที่ถูกทำแท้งและนำมาทิ้งในห้องเก็บศพของวัดที่เป็นข่าวนั้นเชื่อได้เลยว่าเป็นทารกที่เกิดจากการผิดประเวณี การสำส่อนทางเพศและจากชายหญิงที่มิได้แต่งงานกัน
ประการที่สาม เมื่อชาวอาหรับในยุคป่าเถื่อนได้รับอิสลามเป็นศาสนา คนเหล่านั้นถือว่าการฆ่าทารกที่ไร้ทางสู้เป็นฆาตกรรม แต่สังคมในยุคที่เจริญแล้วกลับพยายามหาเหตุผลมาสนับสนุนการฆ่าทารกให้เป็นเรื่องถูกต้องชอบธรรม
เสียงหวีดร้องของทารกในขณะถูกทำแท้งไม่มีใครได้ยินฉันใด เสียงสาปแช่งของวิญญาณทารกขณะถูกทำแท้งก็ไม่มีใครได้ยินฉันนั้น แต่ที่แน่ๆก็คือเสียงสาปแช่งของทารกนั้นยังคงก้องกองวานรังควานมโนสำนึกของพ่อและแม่ของเขาอยู่ตราบชั่วชีวิต
บทความโดยอาจารย์บรรจง บินกาซัน ประธานโครงการอบรมผู้สนใจอิสลาม มูลนิธิสันติชน