ความคิดเห็นที่ 1 case ผมกับหัวหน้าฝ่ายวิชาการ ฝ่ายวิชาการ : ที่ครูสอนมาทั้งหมดเด็กไ่ม่ได้ concept เลย ครูเลข        : concept เป็นจะไรที่เด็กต้องสร้างเอง ผมได้แต่แนะนำแนวคิดให้เขาสรุปได้เอง ฝ่ายวิชาการ : แต่เขายังเด็กนะครู ครูย้ำกี่รอบ ครูเลข        : บทนี้เรียนเป็นเดือน ผมก็พูดถึง concept เวลาทำโจทย์ทุกครั้งอยู่แล้ว ฝ่ายวิชาการ : ครูให้โจทย์ตัวอย่างเขาน้อยไปหรือเปล่า ครูเลข        : ผมก็ให้การบ้านไป แต่เด็กไม่ทำมา ลอกมาส่งอย่างเดียว ฝ่ายวิชาการ : งั้นครูก็ต้องให้เขาทำในห้อง ครูเลข        : ด้วยหลักสูตร เวลา กว่าผมจะอธิบาย แนะแนวทางให้เด็ก ก็หมดเวลาแล้ว                   เด็กต้องหัดรับผิดชอบตัวเองบ้าง ฝ่ายวิชาการ ; ครูอย่าลืมนะว่าเด็กทุกคนอยากได้คะแนนสูง ๆ ครูเลข        : มันก็มีครับ สำหรับเด็กบางคนเขาไม่เอาอะไรเลย และเป็นส่วนมากด้วย                   คือตอนที่ผมมาสอนใหม่ ๆ ผมก็ถามเด็กนะว่า เธอไม่กลัวสอบตกหรอ                   เด็กตอบผมว่า ตกก็ซ่อมได้ ซ่อมสัก สอง สา่มรอบ ก็ผ่านแล้วครู ฝ่ายวิชาการ : ถ้าเด็กตก ได้เกรดน้อย ๆเวลาเขาไปเรียนต่อที่อื่นลำบากนะครู                   ที่เด็กเรียนแล้วไม่เขาใจก็เพราะครูไม่กำชับเขา ไม่บังคับ ไม่บอก                   ครูอย่าลืมนะว่าเขาเป็นเด็กม.ต้น เพิ่งขึ้นมาจากประถม ครูต้องบอกเขา                   เด็กคือผ้าขาว ถ้าครูปล่อยให้เขาจบออกไปแบบไม่มีความรู้ มันบาปนะครู ครูเลข        : เอางี้แล้วกันครับ ครูลองไปไล่ถามเด็กดูแล้วกันครับ เธอได้อ่านหนังสือ                   มาสอบไหม ฝ่ายวิชาการ : ครูก็โทษแต่เด็ก จากคุณ : เซียนแห่งmath เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 22:56:12

ความคิดเห็นที่ 2 ผมพูดตรงๆนะ จากประสบการณ์การเรียนชั้นประถมและมัธยมศึกษาที่รัฐจัดหาให้ในระยะเวลา 12 ปี ผมรู้สึกว่าคนที่มาเป็นครูประถมและมัธยมโง่ เรียนไม่เก่ง สอบเข้าที่ไหนไม่ได้แล้วค่อยมาเรียนครู สรุปคือมีแต่คนโง่ๆทั้งนั้นมาเป็นครู พอมาเป็นครูก็ขี้โม้ขี้คุยว่าตัวเองเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ คำพูดที่ว่า "สมัยก่อนจะให้คนที่เรียนเก่งที่สุดในจังหวัดมาเรียนครูและกลับไปเป็นครู" ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่ความจริงเลย ยกเว้นครูโรงเรียนท๊อปๆประเทศอย่างสวนกุหลาบ เตรียมอุดม ไรงี้นะครับ กับกรณีอุบัติเหตุเกิดในชีวิตครูจริงๆ อย่างเช่นผมเคยได้ยินเรื่องครูเกษียณท่านนึงของโรงเรียนพรหมานุสรณ์ จ.เพชรบุรี ที่เรียนเก่งระดับติดบอร์ดจ.เพชรบุรี แต่มาเรียนครูเพราะอุบัติเหตุ ว่าจดหมายว่าสอบติดแพทย์ ศิริราชถูกทำให้สูญหายไปจากระเบิดสงครามโลกครั้งที่สองลงใส่บ้าน ทำให้จดหมายหาย กว่าจะรู้ว่าตัวเองสอบติดหมอศิริราชก็เมื่อเข้าเรียนครูไปแล้ว จากคุณ : อืม เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 23:59:19 A:115.87.135.149 X: TicketID:148075

ความคิดเห็นที่ 3 อยากบอกว่าเด็กนักเรียนสมัยนี้ ส่วนใหญ่...แย่มากก จากคุณ : kiria chalee เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 54 00:23:00

ความคิดเห็นที่ 4 ผมก็เคยคิดเหมือน คุณ ความเห็นที่ 2 แต่พอมาได้มาเป็นครู ผมรู้สึกสมเพชตัวเองในเวลานั้นว่า.. ผมนี่มันโง่เง่าเต่าตุ่น อกตัญญูต่อผู้ให้ความรู้ และ ทัศนคติด้อยปัญญา.... จนตอนนี้ ผมมีอุดมการณ์ว่า การที่เราสอนคนให้เป็น คนดี และ เก่ง ได้ คือ สิ่งที่เราทำเพื่อตอบสนองความสุขของตนเอง และ ประเทศชาติ ดังนั้น  ปัจจุบัน ผมจึงรู้สึกว่า ผมมีความคิดสูงกว่าเดิมมากเลยทีเดียว จากคุณ : zenzen เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 54 00:26:42

ความคิดเห็นที่ 5 ลาออก  มาเป็นติวเตอร์มืออาชีพเลยค่ะ จากคุณ : แฟนนายแบบ เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 54 00:29:55

ความคิดเห็นที่ 6 ผมคงยังเป็นคนโง่เง่าเต่าตุ่น และอกตัญญูต่อผู้ให้ความรู้ และมีทัศนคติด้อยปัญญาแบบนี้ตลอดไปแหละครับ จะทำยังไงได้ในเมื่อมันเป็นความจริง จากคุณ : อืม เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 54 00:31:41 A:115.87.135.149 X: TicketID:148075

ความคิดเห็นที่ 7 เห็นด้วยกับคุณความเห็นที่ 6 ครับ มันเป็นความจริงครับ จากคุณ : zenzen เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 54 00:50:06

ความคิดเห็นที่ 8 คุณครูเจ้าของกระทู้ลองหาแรงจูงใจอะไรให้เด็กเกิดความสนใจอยากรู้ เช่น การแข่งขันระหว่างกลุ่ม หรือ เกมคณิตศาสตร์ เชาว์ปัญญา หรือ แม้แต่ เรื่องขำขันก่อนเข้าสู่บทเรียน นำร่องไปก่อนก็ได้ครับ ไม่ทราบว่า ลองใช้บ้างหรือยัง?  ส่วนตัว ผมคิดว่า แรงจูงใจในการเรียน มีผลต่อ ระดับผลการเรียนอย่างมีนัยสำคัญ... ปรับแต่ง วิธีการตามสภาพของเด็ก และสิ่งแวดล้อมในชุมชนครับ... ผมเข้าใจครับว่า ท้อ แต่อย่าเพิ่งถอดใจ.. จากคุณ : zenzen เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 54 01:00:10

ความคิดเห็นที่ 9 คงต้องทำใจครับ เพราะสมัยนี้เด็กอยู่บ้านทรงกล่องกันเป็นส่วนใหญ่ เลยรู้จักแต่ "เสา" หาได้รู้จัก "จั่ว" ไม่ (หรืออาจจะพาลคิดว่า "จั่ว" หมายถึง "จั่วไพ่" เลยก็ได้ หึ หึ) เห็นด้วยกับ คห 8 การลองใช้สื่อที่สนุกสนาน หรือลองประยุกต์สิ่งที่อยู่รอบตัว เหตุการณ์ที่เด็กกำลังสนใจหรืออยู่ในกระแสให้เข้ากับสิ่งที่จะสอน ก็อาจจะพอช่วยให้เด็กมีความสนใจสิ่งที่จะเรียนได้บ้างในระดับหนึ่ง จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 54 01:15:10

ความคิดเห็นที่ 10 แต่ก็น่าแปลกนะครับ ย่างเข้าสู่ปี พ.ศ.นี้ ครูมัธยมก็ยังคงเป็นทางเลือกรองๆของเด็กเรียนเก่งอยู่ดี แม้แต่บรรดาครูรุ่นใหม่ที่เพิ่งเป็นอย่างครูทั้งหลายที่โพสก่อนหน้าผมนี่ ผมก็ยังสัมผัสถึงรังสีความโง่แผ่ออกมาอย่างสม่ำเสมอนะครับ คงไม่ว่าผมนะครับ ในเมื่อมันเป็นความจริง ไว้ได้เด็กเหรียญทองโอลิมปิกวิชาการเลือกมาเป็นครูมัธยม ประถมเมื่อไหร่ค่อยบอกว่าครูเป็นคนฉลาดแล้วกันครับ ทางเลือกก็ไม่ต้องอื่นไกล แค่กำจัดครูโง่ๆ(ที่พยายามเกาะระบบราชการเป็นปลิง)ให้ออกไปจากระบบการศึกษาให้ได้ ก็น่าจะทำให้การศึกษาไทยเจริญขึ้นได้มาก ผมยอมรับว่าเป็นคนอกตัญญู แต่ผมไม่มีทางยอมรับว่าครูปัจจุบันนี้เป็นคนฉลาดเด็ดขาด เพราะไม่เคยเห็นคนฉลาดที่ไหนเลือกเรียนครูเลย จากคุณ : อืม เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 54 01:15:44 A:115.87.135.149 X: TicketID:148075

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณทุกความเห็น จากคุณบัตรผ่านครับ จากคุณ : zenzen เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 54 01:24:22

ความคิดเห็นที่ 12 เราเป็นครูเถื่อนแต่เราคิดตรงกันข้ามกับ จขกท นะ เราไม่เคยมองนักเรียนเราในแง่ลบเลย เราสอนภาษาอังกฤษและบางทีเราก็เจอเด็กซังกะตายมาเรียนเพราะพ่อแม่บังคับให้มาเรียน แต่เราคิดในเชิงบวกกับเด็กและสร้างแรงจูงใจให้กับเด็ก เด็กที่เคยมีนิสัยชอบเอาการบ้านไปวานให้คนอื่นทำคล้ายๆที่เจอบ่อยๆในห้องสมุด pantip น่ะ พอเจอเราสอนเข้าก็กลายเป็นเลิกนิสัยอย่างนั้น ทัศนคติของครูที่มีต่อเด็กสร้างกระแสความคิดที่เป็น vibration แผ่กระจายเป็นเหมือน aura ออกจากร่างครู ซึ่งถ้าครูคิดในเชิงลบ ครูก็จะดึงดูดเด็กซังกะตายไม่เอาถ่านให้เข้ามาในชีวิตครู แต่ถ้าครูคิดในเชิงบวกมันก็จะกลายเป็นพลังอันแรงกล้าที่จะกระตุ้นให้เด็กสนใจอยากรู้อยากเห็นอยากค้นคว้าหาคำตอบ ครูสามารถทำลายหรือสร้างแรงจูงนักเรียนได้ ถึงระบบการศึกษาไทยจะประเมินว่าเราด้อยคุณค่าเกินกว่าที่จะเข้ามาเป็นครูในระบบได้ ตามที่เราเล่าให้ฟังในกระทู้นี้ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K11081971/K11081971.html แต่เราก็เคยรู้สึกภาคภูมิใจไปพร้อมๆกับรู้สึกอายเมื่อมีนักเรียนเคยมาบอกเราว่าเขาเคยเกลียดวิชาภาษาอังกฤษมากๆแต่เราสร้างแรงจูงใจให้เขาเกิดรักภาษาอังกฤษขึ้นมา และนำเอาภาษาอังกฤษเข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของเขาได้ และกระตุ้นให้เขาอยากเรียนรู้ แทนที่จะแค่ติวให้ไปสอบได้ ^ พอเราฟังแล้วเราอึ้ง แล้วก็รีบสารภาพกับนักเรียนไปตรงๆว่า "เราก็เกลียดภาษาอังกฤษเหมือนกัน แต่เราสอนภาษาอังกฤษเพื่อหาเงิน" ^ คือเราอยากนั่งเล่นหมากรุกฝรั่งหรือทดสอบ computer software ซะมากกว่า เพราะมันลับสมองดีกว่าสอนภาษาอังกฤษ แต่ไหนๆจะหาเงินจากการสอนภาษาอังกฤษกันแล้ว เราก็ต้องเอา The Chess Mind คือสมองอันพลิกแพลง และจินตนาการอันก้าวไกล ของนักเล่นหมากรุก มาคิดค้นกลยุทธ์ใหม่ๆในการสอนภาษาอังกฤษ และค้นหาหรือสร้างสื่อการสอนภาษาอังกฤษที่หลายหลาย โดยการเอา computer software มาช่วย (จะได้มีอะไรเข้ากับกิจกรรมที่เรารักบ้าง) เพื่องานสอนของเราจะได้เป็นอะไรที่ดูสดชื่น น่าสนุก เราไม่เคยซังกะตายสอนและไม่เคยโทษนักเรียนว่านักเรียนไม่เอาไหน แล้วก็ไม่เคยไปโทษผู้ปกครองเด็กว่าไม่สั่งสอนเด็ก ถ้าเราสอนแล้วเด็กไม่ได้ดีเราจะพิจารณาตัวเราเอาว่าเราขาด charisma! แก้ไขเมื่อ 20 ก.ย. 54 11:46:35 แก้ไขเมื่อ 20 ก.ย. 54 02:19:42 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 54 02:12:18

ความคิดเห็นที่ 13 อยากจะบอกจขกท.ว่า พวกเราเด็กๆรู้นะคะว่าใครสอนเป็นยังไง ครูสอนดี ตั้งใจสอนเราก็เคารพ ครูสอนไม่เก่ง แต่ตั้งใจสอน พวกเราก็เคารพ ครูสอนเก่ง แต่ทำพฤติกรรมแย่ๆ พวกเราก็เรียนด้วย แต่ไม่เคารพ อาจจะเจอนินทาด้วยนิดหน่อย ถ้าสอนไม่เก่ง ทำพฤติกรรมแย่ๆ งานนี้จะเจอนินทา ถ้าสอนไม่เก่ง แต่เป็นมิตร เด็กก็ยังรักครูคนนั้นอยู่ บางทีโดดแหลก แต่จะมีเด็กบางคนเห็นใจ ฝืนใจเรียน ตอนเราเรียน มีครูท่านหนึ่งมาสอนภาษาจีนให้ฟรีค่ะ เป็นครูแก่ๆ สอนไม่เก่ง แต่ตั้งใจสอนแกมชวนคุย เราจำบางส่วนที่ท่านสอนได้ มารู้ทีหลังว่าผิดอีกต่างหาก(แค่ตัวเดียวค่ะ ไม่ต้องห่วง ส่วนอื่นยังสอนถูก คำที่สอนผิดนั้นเป็นคำที่ใช้บ่อย เลยปวดตับนิดหน่อย) แต่ก็นับถือความพยายามของท่านมาตลอดค่ะ พวกที่โดดวิชาของท่านก็นับถือท่านเหมือนกันนะ คือไม่นินทา ไม่พูดถึงท่านในแง่ลบอ่ะค่ะ แต่ทนเรียนไม่ไหว แล้ววิชานี้ไม่เก็บหน่วยกิตด้วย เลยโดดกันแหลก เข้าเรียนไม่ถึงครึ่ง บางคนไม่เคยเข้าเลย บางคนเข้าบ้าง ไม่เข้าบ้าง บางคนที่เห็นใจท่านมากๆเข้าทุกคาบค่ะ ตอนเราเรียน เรารู้ได้เลย สังเกตจากการเรียกอาจารย์คนนั้นๆ ถ้าเด็กไม่ชอบอาจารย์คนไหน โดยเฉพาะพวกที่ทำตัวไม่ดี เช่น อาจารย์ผู้ชายบางคนทำตัวเป็นภาชนะหุงต้มอ่ะค่ะ พวกเรายำเละลับหลังแน่นอน ถ้าครูท่านไหนรักเด็ก ทุ่มเทกับเด็ก พวกเราจะเรียกว่าป๋าหรือมีคำว่าครูนำหน้าตลอด แบบไม่ต้องบังคับ เรียกทุกคน เด็กเกเรมันก็ทำแบบนี้ มีเกรงใจพวกท่านในตัว ตอนเราเรียนประถม มีครูท่านหนึ่งเข้มงวดสุดๆ ทำให้เราจำมาได้ถึงทุกวันนี้ บังคับให้เราท่องศัพท์ ตอนที่ท่านบังคับพวกเรา เราก็ยอมท่องและจำได้ ท่านให้เราออกกำลังกายอ่ะค่ะ ถ้าท่องไม่ได้สักเก้าคำจากสิบนี่ลิ้นห้อยแน่นอน ท่านจะเปลี่ยนวิธีทำโทษด้วยนะ บางช่วงมีแถมตีอีกต่างหาก ท่านทำให้เรารู้ว่า ถ้าเราพยายามเราก็ทำได้ดีเหมือนกันนะ มันทำให้เราพยายามทุกวันนี้ โดยเฉพาะเรื่องเรียนหรือทำงาน ทำได้ดีมากถ้าเวลาบังคับ เราไม่ได้เจอท่านมาสิบกว่าปีแล้วค่ะ จำได้ลางๆว่าท่านเป็นครูผู้หญิง ท้วมๆ ไม่สูง ไม่เตี้ย สอนตอนเราอยู่ป.5แค่นั้น แต่คาดว่าท่านจะเป็นกำลังใจให้เราได้ตลอดชีวิต เราว่าท่านไม่รู้หรอกว่าท่านมีผลต่อชีวิตเราแค่ไหน ตอนนี้น่าจะลืมชื่อเราไปแล้ว เราก็ลืมชื่อท่านไปแล้วเหมือนกัน เราเชื่อคำว่าระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน จากคุณ : khumchalong เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 54 06:40:31

ความคิดเห็นที่ 14 ผมเห็นใจครูทุกคนนะ ผมเห็นแก่อนาคตตัวเองด้วย เลยตั้งใจเรียน เพื่อสอบติดคณะที่อยากเข้า ตอนนี้ผมอยู่มอห้าแล้ว ข้อเท็จจริง คือ รุ่นพี่ห้องกิฟแมท ที่เพิ่งจบไปปีที่แล้ว เป็นเด็กโอลิมปิกด้วย สอบติดแพทย์ศิริราช แต่เลือกเรียน คณิตที่จุฬา เพราะอยากเป็นครูสอนเลข เพือนผมบางคน ระดับหัวกะทิของห้อง เกรด 3.8-3.9 ตั้งเป้าอยากเป็น "ครู" จะเห็นได้ว่า "ครู" ในความคิดของพวกผมนั้น สูงค่า เสมอ แต่พวกผมอึดอัดใจครูๆ อยู่เหมือนกัน 1) พวกผมจะสอบเข้ามหาลัยอยู่แล้ว ทำไมให้งานเยอะมาก ครูแต่ละคนประดังงานมาให้ทำให้เสร็จก่อนสอบอาทิตย์นึง งานรวมแล้ว 10 กว่าชิ้น บางงานต้องออกไปเก็บข้อมูลนอกสถานที่ ทำรายงานสวยประมาณโบรชัวร์โรงแรม อยากให้อาจารย์คุยกันหน่อย อย่าให้งานประดังมาเวลาเดียวกัน พวกผมไม่ได้นอน นอนไม่พอ ป่วยมัง น๊อกมั่ง 2) การบ้านวิชาหลัก เช่นฟิสิกส์ เลข อังกฤษ ให้ทำ 20-30 หน้า ให้เสร็จภายในเวลาสั้นๆ 3) คะแนนสอบก็ค่อนข้างได้ยากเพราะ ออกยากมากๆๆ แต่คะแนนเก็บดันกดอีก ทำแทบตาย ตั้งใจแทบตาย ก็ไม่ได้เกรดสี่ 4) สอนไม่ทัน ไม่มีปัญหา ผมอ่านเอง เรียนพิเศษข้างนอกกัน เวลาออกสอบ ออกสิ่งที่ไม่ได้สอน แต่ควรแนะแนวทางกันบ้าง ว่าไปอ่าน ไปค้นเพิ่มเติมเอาที่ไหน ผมว่า "ระบบ" มันไม่ได้มีชีวิต บ่นใส่ระบบไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ตรงไหนไม่ดี ควรแก้ไข ก็ต้องพูดกับ "คนที่เค้ารับผิดชอบ" นี่แหล่ะ แต่ปัญหาคือ ไม่ค่อยเปิดใจฟังกันเลย หรือฟังแล้ว ก็ไม่คิดจะทำให้ดีขึ้นได้อย่างไร โทษไปเรื่องอื่นๆนอกตัว จากคุณ : KONICHIWA เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 54 09:27:06

ความคิดเห็นที่ 15 d จากคุณ : okb เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 54 12:03:51

ความคิดเห็นที่ 16 ถ้าตอน มัธยมผมเจอครูแบบ จขกท.ก็คงจะดี แต่ที่ผมเจอกลับไม่ใช่เลย เข้าสอนบ้างไม่เข้าบ้าง อาจารย์บางคนภาษาอังกฤษนี้ถึงขึ้นแย่มาก ไม่รู้จบครูมาได้ไง แกรมม่าผิดๆ อ่านออกเสียงผิดอีก ไหนจะครูเลขสอนอะไรก็ไม่รู้ ไม่มีใครเข้าใจจนต้องไปเรียนพิเศษเอาหรือไม่ก็อ่านเองเข้าใจกว่าเยอะ   อาจารย์สายวิทยาศาสตร์เจอเก่งๆสอนรู้เรื่องอยู่ 2 คน ที่เหลือสอนแพะอะไรก็ไม่รู้ ยิ่งเคมีเด็กสายวิทย์ตกกันเกิน 150คน   ครูภาษาไทยก็เข้ามาพูดๆๆ นักเรียนจะฟังหรือไม่ฟังก็พูดๆๆๆ  แถมปีนั้นเรียนเรื่อง 3ก๊ก   อาจารย์มั่วมาก สอนอะไรไม่รู้เมืองหลวงของเล่าปี่คือเก๊งจิ่ว  ฮว๊ากกกกกกกก  สอนมาได้ยังไง สอนอีกว่าโจโฉเป็นตัวร้าย (- -'' ) พอใกล้จะสอบการบ้านก็โครเยอะ งานก็สั่งๆๆๆๆ  เพราะอาจารย์เข้าบ้างไม่เข้าบ้าง วิชาศิลปะ อาจารย์เหมือนไม่สอน พอถึงคาบเรียนอาจารย์วางงานให้เด็กไปทำ ไม่รู้ตัวอาจารย์หายไปไหน เรียนทั้งหมด 15 ครั้ง เห็นอาจารย์ครั้งเดียวคือครั้งแรก อีก 14ครั้งไม่เจอเลย (จริงๆ) จำภาพได้ติดตาวันนั้นต้องเรียนเคมีช่วง 1.30-3.10 เข้าไปรออาจารย์ 1 ชม.ก็ยังไม่มาเลยตัดสินใจเดินเอากระเป๋าไปไว้ข้างล่างเพราะมีเรียนแบตตอน 4.00 ตอนกำลังจะเข้าสนาม เจออาจารย์เดินเลียไอติมโคนแผล็บๆๆ  ช๊อก!!!!!!  ไม่เข้าสอนแต่มาซื้อไอติมกิน   โรงเรียนชื่อดังในกทม.เนี่ยแหละ พูดปุบรู้ปับ จากคุณ : Ploeauer เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 54 12:06:16

ความคิดเห็นที่ 17 มานอกเรื่องหน่อยค่ะ แต่เรานี่แพ้ทางกระทู้เกี่ยวกับครูจริงๆ เข้าโต๊ะห้องสมุดทีไร ถ้าเห็นกระทู้เกี่ยวกับครูและเด็ก เราเป็นต้องคลิกเข้ามาอ่านทุกที^^ นักเรียนสมัยนี้มีหลายประเภทจริงๆค่ะ แบบที่ไม่ตั้งใจเรียนก็มี แบบที่ตั้งใจเรียนก็มี แบบที่ไม่อยากตื่นเช้ามาเรียนหรือแบบที่รู้สึกสนุกที่ได้มาเรียนก็มี แล้วก็มีนักเรียนแบบที่ขี้อาย ไม่กล้าบอกคุณครูที่ตั้งใจสอนหนังสือ สอนสิ่งดีๆให้ลูกศิษย์ว่าลูกศิษย์นั้นชื่นชมคุณครูเหลือเกินด้วยเหมือนกันค่ะ หรือลูกศิษย์แบบที่เวลาไหว้พระก็คิดถึงพระคุณของครูก็มีนะคะ จขกท อย่าเพิ่งท้อใจกับการเป็นครูเลยนะคะ เป็นกำลังใจให้ จขกท และคุณครูทุกคนค่ะ จากคุณ : นอกเรื่องชิดขวาสินะ^^ (pasteque) เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 54 12:49:03

ความคิดเห็นที่ 18 เรากลับมองว่า จากกรณีที่ จขกท ยกตัวอย่างให้มาในความเห็นแรก ผู้ปกครองมีส่วนผิดมาก ๆ ที่ไม่สามารถดูแลและปลูกฝังนิสัยที่ดีมากกว่านี้ให้เด็กได้ ไม่ได้บอกว่าเป็นนิสัยที่เลวร้ายมาก ๆ แต่มันคือ ไม่สอนให้ลูกรู้จักรับผิดชอบหน้าที่ของตน ที่ๆเราทำงานเราเป็นผู้ช่วยอาจารย์ฝรั่ง เด็กที่มาเรียนก็ตั้งแต่ ป.1 ถึง ป. 4 เด็กบางคนขยันตั้งใจ ในห้องเรียนก็พยายามพูด ผิดถูกอย่างไร อาจารย์ฝรั่งก็พยายามช่วย แต่น้องบางคนไม่สนใจ คุย ไม่ยอมทำกิจกรรม หลังจากเวลาพัก อาจารย์มาตามให้เข้าห้อง ก็ไม่ยอมเข้า นั่งกินขนมไม่รักษาเวลา ผู้ปกครองก็ไม่ดูแล แทนที่จะให้ลูกกินนม กินขนมให้เสร็จ กลับให้ลูกนั่งเล่นไอแพด เล่นเกมกัน พอถึงเวลาเข้าห้องถึงค่อยจะมากิน ก็เข้าห้องช้าอีก -*- หรือเวลาที่อาจารย์ไปคุยไปปรึกษากับผู้ปกครอง เพื่อให้รับทราบปัญหาของเด็กและหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน กลับจ้องจะโทษแต่สิ่งแวดล้อม โทษว่าเพื่อนในห้องชวนเล่นบ้าง เลียนแบบพฤติกรรมเพื่อนบ้าง  มองปัญหาไม่ตรงจุด เราเลยมองว่า ผู้ปกครองก็เป็นปัญหาหนึ่งเหมือนกัน จาก case ที่ จขกท ยกมาให้ความเห็นที่ 1 และประสบการณ์ที่เห็นจากเด็กที่มาเรียนในสถาบันที่เราทำงานอยู่ ส่วน จขกท ก็อย่าเพิ่งท้อนะคะ บางครั้งปัญหามันก็เกิดมาจากหลายทาง ทั้ง ระบบ ผู้ปกครอง ตัวเด็กเอง หรือ คุณครูเองก็ตาม   อาจจะทำให้เรารู้สึกท้อถอยหมดกำลังใจ แต่อยากให้ลองสู้ดูนะคะ เป็นกำลังใจค่ะ จากคุณ : Untranslatibility เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 54 13:22:40

ความคิดเห็นที่ 19 รบกวนเพื่อนๆช่วยตอบโจทย์หน่อยครับ โจทย์มีอยู่ว่า ซื้อปากามา 3  บาท มีคนให้ราคา 4 บาท  เลยขายออกไป ต่อมานึกเสียดาย  เลยขอซื้อคืนมาโดยจ่ายไป 5 บาท ต่อมามีคนอยากได้เลยขายไป 6 บาท ถามว่าได้กำไรกี่บาท  หรือขาดทุนกี่บาท  หรือเท่าทุน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะช่วยตอบนะครับ :-) ขอให้ตอบในกระทู้ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K11087814/K11087814.html นะครับ ขอขอบคุณล่วงหน้าครับ จากคุณ : ครับผม เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 54 16:36:14

ความคิดเห็นที่ 20 เข้ามาเป็นกำลังใจให้ จขกท นะคะ :) เสียดายที่บอกว่าจะอยู่เป็นปีสุดท้าย เห็นด้วยกับประโยคที่ว่าครูคือแพะ ครู มักจะถูกโยนบาปให้เสมอ จากคุณ : ][NuUnAn-- เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 54 16:42:22

ความคิดเห็นที่ 21 ยอมรับซะว่า ช่วงประมาณ 10-15 ปีให้หลัง คนที่เข้ามาเป็นครู 90%โง่(10%ที่เหลือเป็นเด็กทุน) จากคุณ : la..la..means เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 54 16:53:00

ความคิดเห็นที่ 22 คห.21 คุณla..la..means ครับ   ครู 90% ไม่โง่หรอกครับ  ถ้าไม่เชื่อเดี๋ยวคอยดูคำตอบของโจทย์ที่ผมถามไว้ที่ คห.19 นะครับ  555  แก้ไขเมื่อ 20 ก.ย. 54 17:02:22 แก้ไขเมื่อ 20 ก.ย. 54 16:58:34 จากคุณ : ครับผม เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 54 16:56:38

ความคิดเห็นที่ 23 ตอบจากประสบการณ์ตรง ครูเดี๋ยวนี้ส่วนใหญ่โง่ ไม่มีความรู้ ไม่มีความสามารถ มีปัญหาอะไรก็โทษไปที่เด็ก ครูเดี๋ยวนี้อ้างว่า ปัญหาเกิดจากคนอื่น คนอื่นโทษครู ครูเรียกร้องแต่ผลประโยชน์และเกียรติที่ตัวเองไม่ควรได้รับ ครูส่วนใหญ่เดี๋ยวนี้ กำลังทำร้ายอนาคตของเด็กนักเีรียน ด้วยการสอนหนังสือผิดๆถูกๆ จากคุณ : แรงน่ะ เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 54 17:43:30 A:115.87.170.151 X: TicketID:117365

ความคิดเห็นที่ 24 สู้ๆครับ จากคุณ : Elizarah เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 54 18:04:48

ความคิดเห็นที่ 25 เรียนเชิญผู้ฉลาดมาสอบเป็นครูกันมาก ๆ ครับ ครูโง่จะหมดไปเอง เพราะคนโง่จะสอบสู้คนฉลาดไม่ได้ จากคุณ : เชิญครับ เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 54 18:10:21 A:223.206.172.154 X: TicketID:322897

ความคิดเห็นที่ 26 คห.29 คุณเชิญครับ ผมคิดว่าครูที่เรามีอยู่ไม่ได้โง่หรอกครับ แต่ปัญหาที่คนมีปัญญาเลิศๆ ไม่สมัครเป็นครู  เพราะศักดิ์ศรีของอาชีพนี้ในปัจจุบันมันไม่สูงส่งเหมือนเมื่อก่อน คนที่มีปัญญาเลิศๆ  เขาหากินจากอาชีพไหนก็ทำเงินได้มากอยู่แล้วครับ (การที่รัฐฯตั้งเข็มไปที่กำหนดเงินเดือนครูให้สูงๆเพื่อแก้ปัญหาจึงยังไม่ถูกต้องตรงประเด็นนัก) คนปัญญาเลิศ  มีบ้างที่เลือกอาชีพสอน หนังสือ  แต่เกือบทั้งหมดจะเป็นการสอนในมหาวิทยาลัยเกรดสูงๆ และโรงเรียนกวดวิชา กระทรวงฯเก่งมากครับ  ที่สามารถทำลายศักดิ์ศรีของอาชีพครูลงได้ในเวลาเพียง 30 กว่าปี จากคุณ : ครับผม เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 54 18:38:52

ความคิดเห็นที่ 27 สู้ๆ นะค่ะเจ้าของกระทู้ เป็นกำลังใจให้ค่ะ อย่าเพิ่งออกเลย เสียดายครูดีๆ นะค่ะ เราเจอเด็กหลายประเภท คล้ายๆ เจ้าของกระทู้ค่ะ เช่น ไม่มาโรงเรียน เราต้องไปตามที่บ้าน ปรากฏว่า บอกพ่อแม่ว่ามาโรงเรียน แต่ไม่ถึงโรงเรียน เด็กไปไหน พ่อแม่เชื่อใจลูกคิดว่าลูกมาโรงเรียน ปรากฏว่า ออกจากบ้าน ไปนอนอยู่กับผู้ชายที่ไม่เรียนหนังสือ พอตกเย็นก็กลับบ้านเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เด็กบางคน มาเรียน แต่บอกว่าป่วย ไม่สบาย ไปนอนห้องพยาบาล บางทีไปแอบตามตึก เราซึ่งสอนอยู่ ต้องเดินตามเด็กที่อยู่ตามอาคาร เพื่อให้มาเข้าห้องเรียนให้ครบ เด็กบางคนชาวบ้านเล่าให้ฟังว่าไปมั่วสุ่มนอกโรงเรียน เราก็ต้องตามไปดูว่าจริงไหม ปรากฏว่าจริง มั่วสุ่มกันเป็นคู่ๆ พอเราไปตาม โดดน้ำหนีแอบในน้ำ (เพราะไม่มีเสื้อผ้า) ต้องให้ทางตำรวจมาช่วยอีกแรง ถ้าเด็กส่งงานไม่ครบ ก็จะเดินตามห้องที่เด็กสอบ ตามงานให้ครบ ไม่อยากให้เด็ก ติด ร ติด 0 เด็กติดบุหรี่ ติดยาเสพติด เราทราบ ต้องนำเขามาคุยด้วย และต้องพาเขาไปบำบัดให้เขาเลิกให้ได้ เด็กบางคนอยู่กับแม่เลี้ยง โดนทุบตี ไม่มีเงินกินข้าว เราก็ต้องให้เขา ไม่ใช่ว่าใจดี แต่เด็กไม่รู้จริงๆ ว่าจะต้องพึ่งพาใคร นอกจาก ครู นี่เป็นตัวอย่างของเด็กแค่บางส่วนนะค่ะ อาจดูเลวร้าย แต่นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นค่ะ อยากจะฝากบอกคนที่อคติเรื่องครูด้วยนะค่ะ ว่า ครูเป็นมากกว่าผู้ให้ความรู้ นอกจากจะต้องให้ความรู้ที่ถูกต้องแล้ว ยังต้องเป็นพ่อแม่คนที่ 2 ที่คอยอบรมสั่งสอนให้เขาเป็นคนดี มีระเบียบ มีวินัย เพื่อที่เขาจะได้เป็นคนดีในสังคมค่ะ จากคุณ : ไปกินข้าวกันเถอะ เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 54 18:44:09

ความคิดเห็นที่ 28 ผมเป็นอดีตอาจารย์คนนึง(พึ่งลาออกมาสักพัก หลังสอนจบคอส)  ในโรงเรียนบริหารธุรกิจ เอกชนแห่งหนึ่งครับ     ผมกลับคิดว่า..เด็กไม่ได้เป็นปัญหานะครับ  ปัญหาอยู่ที่ แนวคิดของผู้บริหาร และแนวคิดของบุคลากรภายในโรงเรียนนั่นแหล่ะ ที่เป็นปัญหา...   ทุกครั้งที่มีการประชุมครู อาจารย์  มีการพูดถึงเด็กในด้านลบ ของเด็กคนนั้น คนนี้ ... มันทำให้ความคิด ด้านบวกเกี่ยวกับอาชีพนี้ลดลง  ตามไปด้วย.   ถึงแม้จะมีอาจารย์หลายๆท่านที่ผมได้ร่วมงาน และยังเคารพอย่างสูง ก็ยังมีอยู่. จากคุณ : monkygod เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 54 20:54:39

ความคิดเห็นที่ 29 มันต้องรับผิดชอบกันทุกฝ่าย เด็กแย่ ผู้ปกครองแย่ ต้องรับกรรมเอง ผมไม่โทษครู แต่ที่ครูไม่มีความรู้ ทดสอบวิชาที่ตัวเองสอนแล้วสอบตก ผมไม่รู้ว่า มาเป็นครูได้อย่างไร? เห็นว่า วิชาหลักระดับมัธยมปลาย ตกเกินครึ่ง ภาษาอังกฤษ คณิตย์ วิทยาศาสตร์ เฮ้อ จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 54 22:34:57

ความคิดเห็นที่ 30 ตอนเรียนไม่ค่อยเจอครูแบบนี้ ไม่ผูกพันธ์กับ โรงเรียนที่จบ ม ปลาย เพราะรู้สึกต้องขวนขวายหาเองตลอด ทั้งอ่าน ทั้งเรียนพิเศษ เราจน เรียนพิเศษเยอะก้จะเป็นภาระของครอบครัว ทำให้ต้องพยายามมากกว่าคนอื่น ในขณะที่เพื่อนๆ มีตังส์ไว้เรียนพิเศษเยอะมาก ครอสนึงลงหลายๆรอบ เรื่องนึงก้หลายอาจาย์ เข้ามาก้มาคุยเวลาอาจารย์สอน ทำให้คลาสเสียบ่อยๆๆ อาจารย์ก้ใช่ย่อย ชอบสอนพิเศษแล้วเด็กที่เรียนด้วยก้จะได้เกรดสี่ แน่ๆๆ มันใช่มั้ยยยยยยยยยย ความรู้ที่ได้ล่ะคืออะไร ตรวจงานบ้างมั้ย ไม่รู้จริงๆหรอว่าลอกกันส่งมา คนที่เป็นต้นฉบับยังได้เกรดน้อยกว่าคนลอกเลย งงๆ และโค ตร เซ็ง ความรู้ที่ได้หลังออกจาก โรงเรียนนี้มีจริงหรอ คนที่ได้เกรดเยอะ ก้ใช่ว่าจะมีความรู้เยอะ คนที่ได้เกรดเยอะในโรงเรียนมักจะหมายถึงคนที่เข้าหาครูเก่งมากกว่า มาสอนสาย งานที่เกี่ยวกับเงินเดือนมาก่อนงานสอน เด็กได้หนังสือมั้ย ไปโรงเรียนเพื่อลอกงานส่งเป็นวันๆ นั่งเล่น คุยเล่นหลังดึก ความสำเร็จที่โรงเรียนได้ ได้มาจากที่ครูสอนจริงๆหรอ เพื่อนเราที่เรียนครู จบมาเป็นครู คิดว่าเราอยากจะส่งลูกเราไปเรียนเหรอ  ถ้าตอนเรียนมอปลายมาด้วยกันมันยังโดดเรียน ยังลอกงานเรา ลอกข้อสอบเรา เรียนเคมี ฟิสิกส์ตก แก้แล้วแก้อีก แบบนี้เราก้ไม่ไหวจริงๆนะ  เราไม่กล้า จากคุณ : วสนะ เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 54 23:29:49

ความคิดเห็นที่ 31 จะโทษฝ่ายใดฝ่ายเดียวมิได้  เพราะคนๆหนึ่งที่เกิดมา ต้องมีองค์ประกอบหลายอย่าง องค์ประกอบครบดีทุกอย่าง คนๆนั้นก็จะได้ค่อนข้างดี  ถึงดีมาก คงค์ประกอบกระท่อนกระแท่น คนๆนั้นก็จะได้แบบกระท่อนกระแท่น ถ้าองค์ประกอบไม่ดีเลย  คนๆนั้นก็จะลำบากถึงลำบากมาก   ไม่ใช่หมายถึงทุกๆคนนะครับ      แค่เป็นส่วนใหญ่เท่านั้นเอง          ถ้าเรียนกันเก่งๆหมดทุกคน เดี๋ยวประเทศไทยก็ไม่มีแรงงานหรอก   เป็นแบบนี้นะดีแล้ว   เพียงแค่เพิ่มเปอร์เซ็นต์คนเก่งๆให้มากกว่านี้อีกนิดหน่อยก็พอ จากคุณ : ศรีวรลักษณ์ เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 54 01:34:02

ความคิดเห็นที่ 32 ถึง คห ที่ 29 ระดับมัธยมปลาย ครูไม่ได้สอบตกเกินครึ่ง ครูสอบผ่านประมาณ 20 เปอร์เซนต์ ระดับประถม ครูสอบตกมากกว่าครึ่งครับ ครูเดี๋ยวนี้ไม่มีความรู้เลย จากคุณ : คนไทย เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 54 06:23:13 A:58.9.103.197 X: TicketID:117365

ความคิดเห็นที่ 33 เหนื่อยครับเมื่อคืนผมกลับมานอน มีผู้ใหญ่ฝากเตือนมาว่าอย่าแย้ง อย่าขัด เขาไม่ชอยคนขัด ผมรู้สึกว่าไม่อยากทำอะไรให้โรงเรียนนี้อีกแล้ว ผมคิดมาเสมอว่าการโต้แย้งมันเป็นการโต้แย้งทางวิชาการ ในเรื่องการสอน ความเข้าใจเด็ก ผมยอมรับและรับฟัง ผมเคารพในศาสตร์ศึกษาศาสตร์ที่คุณเรียนมา ผมก็พยายามปรับให้ แต่สิ่งที่ผมเอามาแย้งมันเป็นประสบการณ์จริงในห้องเรียน ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ในเรื่องคณิตศาสตร์ เขากลับไม่ยอมรับความคิดเห็นของผมเลย เอาแต่ความคิดตัวเอง ถึงผมไม่มีวุฒิ วท.บ วท.ม คณิตศาสตร์ แ่ต่ผมก็เคยเรียนผ่านมา จริง ๆเขาน่าจะรู้ดีว่าในระดับมัธยม ทำไมต้องให้เรียนคณิตศาสตร์ ทั้งที่มันเป็นวิชาที่ใช้น้อยที่สุด แต่กลับให้ความสำคัญมากเวลาเรียน และสอบ ถ้ามองผมเป็นเืพื่อนร่วมงานผมก็พร้อมที่จะทำงานเกี่ยวกับคณิตศาสตร์เต็มที่ แต่นี้กลับอยู่ในฐานะลูกน้องเจ้านาย ต่อไปผมจะก้มหน้าก้มตารับคำสั่งอย่างเดียวไม่เสนออะไรอีกแล้ว เมื่อวานเวลามีเรื่องแจ้งอะไรเขาก็ฝากหัวหน้าฝ่ายมัธยมมาพูด คงไม่อยากพูดกับผมโดยตรง ผมเพิ่งรู้จากหัวหน้าฝ่ายมัธยมนี้แหละครับ ว่าเขาไม่ชอบคนแย้ัง ทุกวันนี้ที่ผมยังอยู่ผมสงสารเด็กที่่ผมปลุกเขา ปั้นเขาพาไปแข่ง ดึงเขามาในชมรมนักคณิตศาสตร์ แต่ปีหน้าคงไม่มีใครมาใส่ใจเด็กพวกนี้แล้ว คนเก่ง ๆน่าจะลงมาอยู่วงการนี้จริง ๆแต่คงเป็นไปได้ยาก จากคุณ : เซียนแห่งmath เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 54 06:35:51

ความคิดเห็นที่ 34 แค่เห็นหัวกระทู้ก็เข้ามาให้กำลังใจค่ะ จากคุณ : akebi1 เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 54 09:59:32

ความคิดเห็นที่ 35 โครงสร้างสังคม และ โลกาภิวัตน์ทุนนิยม มีส่วนทำให้สภา่พสถานะของครูเป็นอยู่ทุกวันนี้ครับ "เงิน" คือ กลไกขับเคลื่อนผลักดันทั้งหมดครับ -ด้วย"เงิน"เดือนครูที่น้อยนิด แต่งานหนักยิ่งกว่า"แม่" ไม่คุ้มค่าความสามารถเมื่อเทียบกับการทำงานเอกชนที่อื่น ประเภทอื่น ศักดิ์ศรีของความเป็นครูไม่ได้ช่วยสถานะเศรษฐกิจตัวเองและครอบครัวดำรงชีวิตอยู่รอดได้ด้วยค่าครองชีพปัจจุบันนี้ -ด้วย"เงิน"ที่ผู้บริหารสถานศึกษาต้องการเพิ่มมากขึ้นเพื่อมาพัฒนาโรงเรียนหรือะไรก็ตามแต่ ส่งผลให้ต้องรับนักเรียน-นักศึกษาเพิ่มมากขึ้น เมื่อปริมาณเพิ่มขึ้น คุณภาพเท่าเดิม ผลลัพธ์ผลผลิตจึงมีแนวโน้มด้อยประสิทธิภาพ ประเทศไทยทำการศึกษาเหมือนธุรกิจในระบบเศรษฐกิจ อยากลงทุนน้อย แต่กลับหวังให้ได้ผลกำไรมาก? ไม่ลงทุนกับทรัพยากรครู แต่อยากได้ระบบการเรียนการสอนดี มีผลผลิตคือนักเรียนมีประสิทธิภาพ? นักเรียนทุกวันนี้ต่ำมาตรฐานกว่าแต่ก่อนเพราะ "จ่ายครบจบแน่" ครับ อาจารย์เก่าๆต้องลดค่าคะแนนเกณฑ์ผ่านลงเพื่อให้จบ เป็นทั้งระดับมัธยมและมหาวิทยาลัยครับ แม้ยังไม่ได้เป็นทุกแห่งแต่ก็มีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆครับ และ...กรณีของคุณ จขกท.ที่ยกมายังเบาะๆครับ เพื่อนผมเป็นอ.มัธยม อยู่ไม่กี่เดือน ไม่ไหว ต้องลาออกไปอยู่ฝ่ายธุรการเลยครับ เพราะทนกับสภาพตัวเองเป็นหัวหลักหัวตอไม่ไหว -นักเรียนไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ในเวลาเรียนพวกหน้าห้องดูเหมือนตั้งใจเรียนที่สุด แต่บางคนก็ดูเหม่อๆหรือแอบทำอย่างอื่น พวกหลังห้องยิ่งไม่ต้องพูดถึง คุย+แต่งหน้า+เอาการ์ตูนขึ้นมาอ่านบนโต๊ะ และมือถือนั้นไม่ว่าหน้าห้องหรือหลังห้อง ถ้าจะเล่นก็เอาขึ้นมาเล่นเลยไม่เกรงใจคนที่สอนอยู่ทั้งสิ้น ว่าเตือนแล้วก็แค่รับคำ ไม่กี่วินาทีผ่านไปก็ทำต่อ ไม่สนใจทั้งนั้น -ผลสอบออกมาทั้งห้องคะแนนผ่านไม่ถึง15-20% แต่ก็ไม่สามารถให้ตกซ้ำได้ ต้องให้ซ่อมและผ่านไป งานที่มอบหมายให้ซ่อมบางคนก็ไม่ส่งอีก ก็ต้องให้ติด ร แล้วผ่านไป รอแล้วแต่จะทรงโปรดสะดวกส่งเมื่อไร ชั้นปีไหน ในเมื่อเรียนยังไงก็ผ่าน ก็ไม่ต้องแปลกใจหรอกครับที่ ห้องสีลมจะบ่นกันเรื่อยๆว่า เด็กสัมภาษณ์งานสมัยนี้ห่วยมากขึ้นทุกวัน จากคุณ : ทูตซ้ายเอี้ยเซียว เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 54 10:23:50

ความคิดเห็นที่ 36 ถ้าสอนคนเดียว หรือคนสองคน มันก็สนุกนะ ตอนเรียนผมก็ชอบสอนเพื่อนๆ ให้เข้าใจ รู้สึกมีความสุข และท้าทายว่าเรื่องไม่ยาก ทำอย่างไรจะให้เข้าใจได้ แต่ยังนึกไม่ออกว่า การจะสอนคน 30-40 คน สนใจ 10 คน ไม่สนใจ 10 คน ไม่เอาอะไรเลย 10 คน จะบริหารอย่างไร อ่าน ข้อความนี้แล้ว นึกภาพออกเลยว่า มันเกิดอะไรขึ้น "...ด้วยหลักสูตร เวลา กว่าผมจะอธิบาย แนะแนวทางให้เด็ก ก็หมดเวลาแล้วเด็กต้องหัดรับผิดชอบตัวเองบ้าง..." ลืมนึกว่า เด็กต้องเรียนวิชาอื่นด้วย เด็กมีหลักสูตรที่ต้องบรรลุตามเป้าหมายด้วย มีงาน มีการประเมิน ไม่ใช่แค่เข้าใจ แต่มีหลายอย่าง นึกแล้วก็มึน แก้ไขเมื่อ 21 ก.ย. 54 10:33:05 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 54 10:32:03

ความคิดเห็นที่ 37 เห็นใจคณาจารย์ทุกท่านเช่นกันค่ะ โดยเฉพาะอาจารย์ม.เอกชน ไม่กล้าตักเตือนนศ.กันมากนัก เพราะโดนประเมินสอนออนไลน์ ซึ่งเด็กบางคนใช้ภาษาเกรียนมากๆ ถ้าผู้บริหารเชื่อทุกอย่างตามที่เด็กโพสต์ ก็น่าเศร้านะคะ จากคุณ : ม.เอกชน เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 54 11:16:04 A:122.154.3.56 X: TicketID:007828

ความคิดเห็นที่ 38 จัดหน้าไม่ได้  ขอยกไป คห.ใหม่ครับ   แก้ไขเมื่อ 21 ก.ย. 54 11:56:40 แก้ไขเมื่อ 21 ก.ย. 54 11:54:20 แก้ไขเมื่อ 21 ก.ย. 54 11:50:30 แก้ไขเมื่อ 21 ก.ย. 54 11:48:51 แก้ไขเมื่อ 21 ก.ย. 54 11:48:08 แก้ไขเมื่อ 21 ก.ย. 54 11:47:24 จากคุณ : ครับผม เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 54 11:35:04

ความคิดเห็นที่ 39 ความคิดเห็นที่ 31 จะโทษฝ่ายใดฝ่ายเดียวมิได้  เพราะคนๆหนึ่งที่เกิดมา ต้องมีองค์ประกอบหลายอย่าง องค์ประกอบครบดีทุกอย่าง คนๆนั้นก็จะได้ค่อนข้างดี  ถึงดีมาก คงค์ประกอบกระท่อนกระแท่น คนๆนั้นก็จะได้แบบกระท่อนกระแท่น ถ้าองค์ประกอบไม่ดีเลย  คนๆนั้นก็จะลำบากถึงลำบากมาก    ไม่ใช่หมายถึงทุกๆคนนะครับ      แค่เป็นส่วนใหญ่เท่านั้นเอง          ถ้าเรียนกันเก่งๆหมดทุกคน เดี๋ยวประเทศไทยก็ไม่มีแรงงานหรอก   เป็นแบบนี้นะดีแล้ว   เพียงแค่เพิ่มเปอร์เซ็นต์คนเก่งๆให้มากกว่านี้อีกนิดหน่อยก็พอ จากคุณ : ศรีวรลักษณ์  ------------------------------------------------------------------------------- สุดยอดจริงๆครับ เป็นความเห็นที่ตรงไปตรงมาที่สุดในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงสำหรับปัจจุบันนี้ครับ แต่ถ้าเราพากันเชื่อและปล่อยไปแบบนี้  ผมคิดว่าวังเวงนะครับ............... การศึกษา  ไม่ได้ถูกใช้เพื่อสร้างให้ทุกคนเก่ง แต่  การศึกษา  คือการให้ความรู้  ดังนั้นจึงการกำหนดว่าจะให้เรียนรู้อะไร   การกำหนดนั้น  ก็จะกำหนดขั้นต่ำเพื่อที่นักเรียน(น่าจะเกิน 90%)จะเรียนรู้ได้ ผู้ที่กำหนดคือกระทรวง  ผู้ที่กำหนดนโยบายเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์คือกระทรววง   ผู้ที่ปฏิบัติคือโรงเรียน-สถานศึกษา ผู้ที่กำกับดูแลโรงเรียน  คือกระทรวง เพื่อนๆคิดดูเองนะครับ  ว่าเขาจัดการอย่างไรถึงได้ผลออกมาเป็นนักเรียนเกินครึ่งที่มีความรู้ต่ำกว่ามาตรฐาน ส่วนที่มาของปัญหาที่ทูตซ้ายเอี้ยเซียว และคุณCarroth   ได้กล่าวถึงใน คห.35 และ 36 ผมได้เคยนำมาเสนอไว้ที่นี่ครับ :-) http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2011/08/K10884235/K10884235.html ความอุบาทว์ของกระทรวงศึกษาพิการแห่งประเทศสารขันธ์ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2011/08/K10884235/K10884235.html ปัญหาและวิธีแก้ไขของการศึกษา ที่ไม่มีใครจัดการมากว่า 30 ปี http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2011/03/K10401230/K10401230.html เปิดกระโปรง...เอ้ย เปิดโปงกระทรวงศึกษา http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2011/04/K10455834/K10455834.html มาเปิดกระโปรง.. เอ้ย เปิดเผยจุดผิดพลาดของกระทรวงศึกษาตามที่ได้สัญญาไว้ครับ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2011/04/K10475456/K10475456.html แสงเรืองเรืองที่ส่องประเทืองอยู่ทั่วเมืองไทย คือแม่พิมพ์อันน้อยใหญ่..... http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2011/05/K10539490/K10539490.htm แก้ไขเมื่อ 21 ก.ย. 54 12:16:01 แก้ไขเมื่อ 21 ก.ย. 54 11:59:03 จากคุณ : ครับผม เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 54 11:55:38

ความคิดเห็นที่ 40 หลังจากที่ผมไมไ่ด้เข้าใน ห้องสมุด นี้เลย (เพราะผมเข้าไปอยู่ในห้องสินธรแทน) กำลังนึกๆอยากได้ความเห็น + บ่น ถึงการสอนพิเศษอยู่พอดีเลย แล้วก็เจอกระทู้นี้ตรงใจขึ้นมาทันที เล่าความหลังผมสักหน่อย ตอนนี้ผมกำลังสอนพิเศษเป็นติวเตอร์ตัวๆ อยู่ครับ ตอนนี้ก็สอนอยู่ระดับ ม.ปลาย (ม.5 ม.6) ปัญหาและอุปสรรคที่ยังพบเจออยู่ในขณะสอนพิเศษคือ 1.การไม่เริ่มต้นพยายามคิดก่อนเสมอถ้าเป็นโจทย์ปัญหาแนวใหม่ๆ ซึ่งก็จะแนะนำให้เปิดหนังสือหรือหาทฤษฎีเพื่อทำความเข้าใจทฤษฎีหรือสมบัติตรงนั้นใหม่ จากนั้นก็เอามาทำในโจทย์ข้อนั้นต่อ ซึ่งหลายครั้งที่เจอโจทย์แล้วจะบอกก่อนเลยว่า "ทำไม่ได้" ซึ่งเมื่อแนะให้เปิดย้อนหลังดูแล้ว (เปิดแบบผ่านๆเหมือนไม่ได้อ่าน) ก็จะบอกกลับมาว่า "หาไม่เจอ" หรือ "อ่านแล้วแต่ก็ทำไม่ได้" จนสุดท้ายก็ต้องบอกวิธีทำไปอยู่เรื่อยๆ พอข้อต่อมาก็เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ทั้งที่มีบางข้อที่เคยทำแนวเดิมมาแล้ว ก็ยังคงเป็นลักษณะเช่นเดิมอยู่ 2.มักมีคำถามย้อนกลับมาว่า "ที่โรงเรียนสอนง่ายแค่นี้แหละ" , "ทำไมต้องเรียนยากๆด้วย" , "ครูก็บอกให้จำๆมาแบบนี้" ซึ่งผมมักจะให้เป้าหมายสูงสุดคือการทำโจทย์ระดับ PAT ให้ได้ ซึ่งแน่นอนว่าผู้เรียนที่เน้นแต่การจำแนวโจทย์ ย่อมทำข้อสอบระดับ PAT ไม่ได้แน่นอน (เน้นในปีล่าสุดด้วยครับ เพราะเป็นปีที่เน้นการวิเคราะห์โจทย์และทฤษฎีเป็นหลัก) แต่ก็แน่นอนครับว่า ในเริ่มต้นผมจะต้องให้ทำระดับในโรงเรียนให้ได้ก่อน จากนั้นค่อยเพิ่มความยากไปเรื่อยๆ แต่ว่าคนที่เรียนส่วนใหญ่มักจะบอกว่า "โรงเรียนสอนมาแค่นี้นี่" , "ทำไมมันต้องออกยากด้วย" , "บอกวิธีทำมาเลยสิ" ซึ่งการบอกวิธีทำโดยตรงจะไม่สามารถทำข้อสอบระดับ PAT ได้แน่นอน 3.เวลาในการทบทวนและอ่านหนังสือ ผมแยกออกเป็น 2 แบบคือ 3.1 ไม่มีเวลาอ่านหนังสือหรอก ต้องทำงานที่โรงเรียนอย่างเยอะเลย มาสั่งเยอะแยะเต็มไปหมด (แต่ก็เห็นเล่นเกมและ online อยู่ได้) ซึ่งก็ไม่สามารถบอกการแบ่งเวลาได้ชัดเจน ซึ่งก็จะตอบมาแค่ว่า "ก็ทำไปเรื่อยๆ" 3.2 ทบทวนอ่านหนังสือตามตำราแบบไม่ได้จดย่อ หรือ แค่การลอกตามหนังสือ ซึ่งแน่นอนว่าความเข้าใจก็จะไม่ได้รับมาเลยแต่อย่างใด เมื่อทดลองถามถึงเนื้อหาก็ไม่สามารถเรียบเรียงเนื้อหาและความคิดได้แต่อย่างใด ซึ่งส่วนนี้ผมก็มักจะให้ทำสรุปเสมอๆด้วยเช่นกัน แต่ก็.......ทำบ้างไม่ทำบ้าง ตามเคย 4.การจัดการเตรียมตัวสอบ (สำหรับ ม.6) หลายคนมักจะกล่าวอ้างว่างานเยอะ อ่านไม่ทัน เนื้อหาเยอะแยะ (แต่สามารถแบ่งเวลาเล่นเกมได้) ซึ่งจริงๆแล้ว ก็เตือนและนับถอยหลังเริ่มต้นที่ 70 กว่าวัน จนเรื่อยมาถึงวันนี้ คือ 10 กว่าวัน เท่านั้น ซึ่งก็ยังไม่ได้รู้ว่าจะต้องทบทวนหรือต้องเร่งรีบอ่านหนังสือแต่อย่างใด >>>> ในข้อ 4 นี้โดยประสบการณ์จากตัวผมเอง ผมก็เคยโดนว่าโดนกดดันในช่วงก่อนสอบเดือนตุลาเหมือนกันแต่ก็ไม่ได้ทบทวนอะไรเช่นเเดิม จนกระทั่งถึงวันประกาศคะแนนสอบรอบแรกออกมาได้คะแนนต่ำติดดิน คราวนั้นผมรู้สึกถึงสำนึกว่าจะต้องอ่านหนังสือและจะต้องพยายามให้ได้แล้ว ไม่ยังงั้นก็จะไม่มีที่เรียน ซึ่งอารมณ์ตอนนั้นไม่ได้เกิดจากใครมากระตุ้นแต่เกิดจากเป้าหมายที่ต้องการจะไปถึงกับคะแนนที่มีอยู่ตอนนี้มันไม่สามารถทำได้ เลยมีความพยายามเกิดขึ้นภายในตัวเอง ตัวบทเรียนนี้เองผมก็เผยแพร่ไปยังคนที่ผมสอนอยู่เสมอนะครับ แต่ก็อย่างว่าบางทีจะต้องไปเจอบทเรียนด้วยตัวเองน่าจะดีที่สุดแล้ว ในบางครั้งผมก็นึกอยู่ว่า สิ่งที่ผมพยายามปลูกฝัง ให้เกิดการพัฒนาทักษะทางความคิด ให้เกิดการพัฒนาศักยภาพของตัวเองได้นั้น ได้ทำถูกต้องแล้วหรือยัง หรือปัญหาที่แท้จริงนั้นส่วนมากจะเกิดจากผู้เรียนเป็นส่วนใหญ่หรือป่าว หรือบางทีผมเองอาจจะไม่เหมาะที่จะมาสอนกับกลุ่มคนเช่นนี้ ซึ่งจริงๆแล้ว ผมชอบที่สอนหรือแนะนำให้กับกลุ่มที่มีแรงจูงใจชัดเจนอยู่ในตัวเองเหมือนกัน (ซึ่งคือกลุ่มที่มีความคิดแบบผู้ใหญ่แล้ว) โดยกลุ่มที่ยังไม่มีเป้าหมาย หรือไม่มีแรงจูงใจผมควรจะปล่อยวางเมื่อพยายามทำเต็มที่แล้วหรือไม่ อาจารย์ที่สอนผมก็แนะนำให้ควรปล่อยวางด้วยเช่นกันถ้าคนเรานั้นได้พยายามเต็มความสามารถแล้วถ้าไม่ดีขึ้นสุดท้ายก็ต้องปล่อยไปตามกรรม บ่นมาซะยาว -..- จะมีใครอ่านหรือป่าวล่ะเนี่ย จากคุณ : RakRok12 เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 54 18:36:23

ความคิดเห็นที่ 41 อ่าน คห.35 แล้วนึกถึง เด็กที่ผมสอนอยู่คนนึงเลย คนนั้นฐานะค่อนข้างดี ครอบครัวมีทั้งงานหลัก งานรอง ไม่ขาดสาย แล้วก็ได้เรียนพิเศษเป็นว่าเล่นทุกวัน ทุกเวลา จนไม่น่าจะมีช่องว่างเพื่อพักผ่อน หรือทำการบ้านของโรงเรียน และด้วยมีคนใช้ภายในบ้านด้วยอีก ทำให้เด็กคนนั้นค่อนข้างจะใช้งานคนอื่นบ่อยครั้ง ตั้งแต่ทิ้งขยะบนโต๊ะอ่านหนังสือจนถึงทำอาหารได้ตามสั่งกินไม่หมดก็ทิ้งไว้ คนนั้นบอกว่า ต้องการจะเป็นหมอ ทีแีรกก็ไม่ได้เอะใจอะไร จนถามว่า ทำไมถึงอยากเป็นหมอ ก็ตอบกลับมาว่า "ได้งานง่าย เงินดี ทำงานสบาย แค่ตรวจๆอยู่ในห้อง" ผมก็นึกเลยว่าคงเห็นแค่ฉากหน้าตอนอยู่โรงพยาบาลเท่านั้นล่ะมั้ง เพราะรู้แค่ว่า "หมอทำงานตรวจๆ สั่งยา แล้วก็จบ" พอผมเริ่มอธิบายถึงสภาพการทำงานในโรงพยาบาลแล้ว ก็ตอบกลับมาว่า "งั้นทำงานไปสักพัก ค่อยมาเปิดคลีนิกเอาเองก็ได้" ซึ่งเมื่อถามถึงการเรียนการสอนของแพทย์แล้วก็ไม่ได้รู้จักหรือเข้าใจการเรียนการสอนของแพทย์เลย หรือแม้แต่ความเป็นแพทย์จริงๆ ก็ยังมองไม่เห็น เพราะมองอาชีพแพทย์แค่ งานง่ายๆ เงินดีๆ เท่านั้นเอง ผมก็อดสงสารคนที่จะมาเป็นคนไข้ในอนาคตไม่ได้ว่า จะต้องเจอแพทย์แบบนี้ในอนาคตจริงๆหรอ คนแบบนี้หรอจะมารักษาคนไข้ได้ในเมื่ออยากเป็นแพทย์เพราะเพียงเงินดี งานง่าย ปล.ผมอาจจะมีอคติอยู่บ้างนิดๆ แต่ผมยังมองไม่เห็นลักษณะของหมอที่จะทำการช่วยชีวิตคนไข้ในอนาคตเลย ซึ่งก็เศร้าใจว่าในอนาคตถ้ามีหมอที่มีความคิดแบบนี้เยอะๆ สังคมจะเป็นอย่างไร ??? จริงอยู่กับคำว่าที่ ถ้าไม่มีเงินแล้วหมอจะกินอะไร แต่จริงๆแล้วผมกลับมองว่า ถ้าสามารถเป็นหมอที่ดี เป็นที่รักของคนไข้ เอาใจใส่บุคคลรอบข้าง มีความสามารถทางการแพทย์เฉพาะทาง ชอบช่วยเหลือคนอื่น ยังไงก็ซะเงินก็ตามมาเองอยู่แล้ว เฮ่ออออ คิดแล้วเหนื่อยใจ จากคุณ : RakRok12 เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 54 19:00:48

ความคิดเห็นที่ 42 อาจารย์คณแนะนำถูกแล้ว เราทำดีที่สุด เด็กจะได้แค่ไหนก็แล้วแต่บุญกรรมของเขาเอง คุณต้องทำตัวเป็นอุเบกขาจะได้ไม่ทุกข์ จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 54 19:57:06

ความคิดเห็นที่ 43 "เด็กตอบผมว่า ตกก็ซ่อมได้ ซ่อมสัก สอง สา่มรอบ ก็ผ่านแล้วครู" เอียนกับระบบนี้เหมือนกันค่ะ มันทำให้เด็กไม่เอาอะไรเลยจริงๆ ไม่สน ไม่อะไรทั้งนั้น เพราะไม่ว่ายังไงชั้นก็ไม่ตกอยู่แล้ว ขนาดให้มาซ่อม ยังไม่กระตือรือร้นเลย แต่สุดท้ายก็ต้องให้ผ่านไป ทั้งๆที่มันก็ไม่ได้อะไรเหมือนเดิม ตอนนี้เริ่มมาคิดว่า ต่อไปก็ให้ผ่านๆไปให้หมด ใครที่ตอนสอบไม่ผ่าน ก็ใส่คะแนนผ่านครึ่งไป จะได้ไม่ต้องมาเหนื่อย มาสอนนักเรียนที่ไม่แคร์อะไร จากคุณ : BigSom เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 54 21:14:05

ความคิดเห็นที่ 44 บางอย่างอาจต้องเห็นไม้แข็งบ้างไรบ้าง ไม้แข็งในที่นี้หมายถึงการได้เจอโลกภายนอก ได้ลองสอบตกในสนามสำคัญบ้างเช่นสนามสอบเข้ามหาวิทยาลัย สุดท้ายแล้วคนนั้นจะสำนึกได้ด้วยตัวเองนั่นแหละ ผมยังนึกชอบข้อสอบ GAT PAT สมัยนี้มากมายเพราะเป็นข้อสอบการวิเคราะห์และประยุกต์พื้นฐานความรู้ทั้งหมดได้ดี ซึ่งทำลายระบบการท่องโจทย์ไปสอบได้ทุกรายเลย. ซึ่งตามจริงแล้วไม่ได้ยากเกินความรู้มอปลายแต่อย่างใดเพียงแต่คนสอบคิดวิเคราะห์ไม่เป็นต่างหาก จากคุณ : RakRok12 เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 54 21:35:09

ความคิดเห็นที่ 45 ผมว่าจะโทษเด็กอย่างเดียวไม่ถูกนะครับ บอกว่าเด็กสมัยนี้แย่ บลาๆ แต่เราต้องนึกย้อนไปนะครับ ใครล่ะที่ปลูกฝังและอบรมสั่งสอนเด็กพวกนี้มา ถ้าไม่ใช่ คุณพ่อ คุณแม่ คุณครู เด็กเรียนรู้และจดจำจากสิ่งแวดล้อม การอบรมสั่งสอนรอบตัว ให้อะไรเด็ก เด็กเค้าก็รับรู้แบบนั้นจนกว่าจะถึงช่วงวัยรุ่นที่เริ่มมีความคิดของตัวเอง จากคุณ : A ARM เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 54 10:08:41

ความคิดเห็นที่ 46 ผมก็เคยคิดว่าเด็กแย่เหมือนกัน  แต่เด็กที่ตั้งใจก็มี ครั้นจะปล่อยๆพวกกะเฬวราชทั้งหลายให้มันผ่านไปสบายๆก็ทำใจไม่ได้ ต้องเคี่ยวเข็ญ  ต้องทำโทษ  ทำทุกๆอย่างเพื่อให้เด็กหันมาสนใจการเรียน   แต่ก็นั่นแหละครับ ไม่เจอเองก็ไม่รู้ กระทั่งเปิดการ์ตูนเปิดหนัง(มีสาระบ้าง ไม่มีสาระบ้าง) เด็กบางคนก็ไม่เอาอะไรเลยจริงๆ เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้นะครับ  ขอแปะไว้ก่อน ยังไม่มีเวลาอ่านความเห็นอื่นเท่าไรนัก จากคุณ : รัตนลาวัณย์ เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 54 11:32:21

ความคิดเห็นที่ 47 ยังขาดความอดทนครับ จากคุณ : ตี๋บางนา เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 54 13:00:25

ความคิดเห็นที่ 48 ครูพูดจาเกรียนมาก มาพูดใกล้ๆ จะตบกระโหลกให้ พูดจาสำเนียงต่ำกว่าคนคุมวินสองแถวซะอีก จากคุณ : สอนตัวเองก่อน เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 54 13:33:33 A:124.122.64.100 X: TicketID:330075

ความคิดเห็นที่ 49 เด็กเองก็มีหลายแบบ ฉันใดก็ฉันนั้น คุณครูก็มีหลายแบบเช่นกันครับ ให้ผมพูดกลางๆ ปัญหาก็หนีไม่พ้น เด็กส่วนใหญ่ทำตัวแย่ อาจารย์ใหม่ๆหลายคนไร้คุณภาพ ผู้ปกครองบางคนไม่รู้จักอบรบสั่งสอนลูกหลาน ผู้บริหารโรงเรียนมัวแต่คำนึงถึงผลงานมากกว่าเด็ก กระทรวงที่มัวแต่ออกนโยบายไร้สาระ ขอเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟัง ตอนม.ต้น ณ โรงเรียนพระเกี้ยว ย่านลาดพร้าว อาจารย์ที่ผมเจอส่วนใหญ่เจอแต่อ.ดีๆและเก่งครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอยู่ห้องคิงด้วยหรือเปล่า ผมเคยเจอแย่ๆอยู่ไม่กี่คนเอง และส่วนมากเป็นอาจารย์ที่ไม่ได้สอนพวกวิชาสายวิทย์ กอปรกับเพื่อนในห้องส่วนใหญ่ถ้าอาจารย์สอนมักจะตั้งใจเรียนกัน ไม่คุยเล่นกันมากเท่าไร ตรงนี้อาจารย์ส่วนใหญ่คงไม่ค่อยหนักใจเท่าไร แต่จะไปหนักใจกับห้องหลังๆมากกว่าครับ แต่อย่างไรก็ตาม ผมว่าการสอนเด็กเก่ง อาจจะเป็นฝันร้ายของอ.ฝึกสอนได้เหมือนกันนะ ถ้าอ.ฝึกสอนที่มาสอนนั้นไม่เจ๋งจริงหรือว่าเข้ากับเด็กได้ แล้วถ้ายิ่งอ.ฝึกสอนทำตัวไม่ดี คงจะเจอวิธีการแกล้งสารพัดรูปแบบ ตั้งแต่แบบเบสิกๆ เช่น ถามคำถามลองภูมิ ไปจนถึงไซโคคนอ.ท่านอื่นเรื่องที่อ.ฝึกสอนว่าไร้ความสามารถก็มี(คือไม่ฉลาดนั่นแหละครับ) ไอ้แย่สุดๆคือถึงระดับทำบัตรสนเท่ห์ติดทั่วรร. หรือแจกจ่ายไปให้คนอื่นก็ยังมีครับ จากคุณ : เฉาก๊วยกะบ๊วยเค็ม - -" เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 54 15:23:19

ความคิดเห็นที่ 50 #10 มีแล้วครับ เพื่อนผมนี่หละครับ เด็กโอลิมปิกเก่า ได้ทุนเรียนไปเรียนตั้งแต่ตรี-เอก ให้กลับมาเป็นครูม.ปลาย รร.ผม เห็นใจ จขกท ครับ ผมเองเคยเป็นติวเตอร์ทั้งมัธยม กับเด็กมหาลัยปีหนึ่งสอนพวกวิชาพื้นฐานวิศวะให้ ขนาดเด็กที่เข้ามหาลัยบางคนยังติดนิสัยว่าต้องป้อนให้อยู่เลยครับ ทางเดียวก็คือพยายามแนะนำเค้าก่อน ถ้าไม่ได้จริงๆถึงที่สุดแล้วก็คงต้องปลงครับ จากคุณ : เฉาก๊วยกะบ๊วยเค็ม - -" เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 54 15:53:42

ความคิดเห็นที่ 51 ไหนว่าครูเงินเดือนน้อย   ถ้าเงินเดือนน้อยทำไมถึงได้มีข่าวแบบนี้บ่อยๆครับ         ศธ.ฉาว!! อีสานถิ่นเสื้อแดงตั้งโต๊ะเรียกเงินสอบบรรจุบุคลากรในเขตพื้นที่ สอบติดบรรจุเลยจ่าย 7.3 แสนบาท ขึ้นบัญชีไว้ก่อนจ่าย 3.5 แสนบาท ตกลงรับเงื่อนไขจ่ายทันที 2 แสนบาท ประกาศรายชื่อจ่ายอีก 1.5 แสนบาท ด้าน “วรวัจน์” สั่งเบรกจัดสอบไม่มีกำหนดและตั้ง กก.มาทำข้อสอบใหม่ พร้อมให้ สพฐ.ไปตรวจสอบข้อเท็จจริง ลั่นไม่ยอมให้มีการเรียกรับเงินใดๆ ในการโยกย้ายของ ศธ.หากพบจะเอาผิดทางวินัยและกฎหมาย “ชินภัทร” เผยจัดสอบใน 12 สพท.อัตราว่าง 60 ตำแหน่งแต่มีคนแห่สมัครกว่า 7 หมื่นคน ที่มาครับ http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9540000120971 หมอดูขอทายว่าเด๋วเดือนหน้าจะมีข่าวทำนองนี้อีก  แต่ลูกใหญ่มาก  555 ตอนนี้ขออุบไว้ก่อนครับ  เด๋ว  ไก่ตื่น  555  จากคุณ : ครับผม เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 54 17:13:23

ความคิดเห็นที่ 52 คิดว่าคนที่พูดแย่น่ะ คห 48 มากกว่านะคะ จากคุณ : BigSom เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 54 18:21:38

ความคิดเห็นที่ 53 อยากให้เอาไปบ่นที่ห้องชานเรือนจังเลยค่ะ (ไม่ได้พูดเล่นนะ) จากคุณ : แม่พีช (battkatob) เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 54 20:45:25

ความคิดเห็นที่ 54 ขออนุญาตเข้ามาแลกเปลี่ยนนะคร้าบบบ อย่าว่าแต่นักเรียนมัธยมเลย ขนาดมหาวิทยาลัยยังทำงานได้น่าตกตะลึง ประเภทสั่งงานจะกลุ่มหรือเดี่ยวก็เจอประเภทลอกจากอินเทอร์เน็ตมาส่ง คำผิดคำถูกยังไม่ตรวจทานเลย งาน 5 หน้า วงคำผิดได้ประมาณ 20 ที่ ส่งคืนก็ให้ไปดูคิดว่าจะเอาไปปรับแก้ก็หายยังไม่เอามาคืนเลย เอ่อนักศึกษาครูด้วยนะนี่ ส่วนเรื่องคะแนนเก็บถ้าเล่าแล้วยาวเดี๋ยวเบียดเนื้อที่ของ จขกท เปล่าๆ จากคุณ : น้องหมูแดง เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 54 21:03:08

ความคิดเห็นที่ 55 ครูดีๆเปลี่ยนชีวิตคนได้นะคะ เราคนนึงแหละเจอแต่ครูดีๆ อาจารย์ดีๆช่วยมาตลอด ไม่งั้นไม่รู้ป่านนี้จะลอยอยู่แถวไหน และเพื่อนๆเราหลายๆคน เกเร ติดยา บ้างก็หาหนทางตัวเองไม่ไ่ด้ ก็เจอครูดีๆ อาจารย์ดีๆนี่แหละค่ะ ที่ทำให้เป็นผู้เป็นคนขึ้นมาได้ อย่าเลิก อย่าท้อถอยเลยนะคะ อย่างน้อย ก็ยังมีนร. นศ.ดีๆ คอยรับความรู้จากคุณอยู่น่ะ นึกถึงเด็กกลุ่มนี้ แล้วคุณก็จะมีกำลังใจค่ะ คำว่า ครูไม่ใช่ว่าใครก็เป็นได้นะคะ มันต้องมีมากกว่านั้น ทั้งเสียสละ พยายาม อดทน สารพัดเราเองไม่มีเลย 55+ เพื่อนเราชวนเราไปช่วยสอนพิเศษเด็กๆ บอกว่า เด็กๆแกอยากเป็นครูนี่ เรายังตอบไปว่า แค่นี้ฉันว่าเป้นแค่ติวเตอร์เท่านั้นเอง ครูไม่ได้เป็นได้ง่ายๆนะ จากคุณ : blooperz เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 54 03:28:29

ความคิดเห็นที่ 56 เจอกระทู้ที่มีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องระบบการศึกษา ครู และนักเรียน พอดี ตอนแรกตั้งใจว่าจะตั้งกระทู้บ่นเหมือนกันค่ะ ไม่ใช่บ่นในฐานะครู ขอบ่นขอเล่าในฐานะผู้ปกครองนะคะ ^ ^' ลูกเรียนอยู่โรงเรียนมัธยมค่ะ เห็นมาเล่าเรื่องอาจารย์ดีๆ ที่สอนดี และเข้มงวด ให้ความเอาใจใส่เด็กนักเรียนเสมอ ส่วนมากเป็นอาจารย์อาวุโสรุ่นเก่าๆ ลูกชอบมาเล่าด้วยความชื่นชม และเสียดายว่าท่านเหล่านั้นใกล้เกษียณแล้ว แต่อาจารย์บางท่านที่ในชั่วโมงเล่าเรื่องโน้น เรื่องนี้ ทว่าตอนสอบข้อสอบไม่เกี่ยวกับในชั่วโมงสอนเลย ต้องไปเรียนเพิ่ม หรืออาจารย์ที่มาเข้าสอนสายเป็นประจำ หรือไม่ค่อยสนใจเด็ก อันนี้ก็มีบ่นให้ฟังเหมือนกันค่ะ เรียกได้ว่าอาจารย์ที่มีจรรยาบรรณและความเป็นครูสูงก็มีอยู่ ขณะเดียวกันอาจารย์อีกกลุ่มที่มีความเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยทำให้มีพฤติกรรมอีกแบบก็มีมากขึ้น นอกจากนั้นระบบการศึกษาที่ถดถอย ตลอดจนระบบบริหารสถาบัน ซึ่งเปลี่ยนไป ก็มีผลกระทบต่อระบบการเรียนการสอน ส่วนเด็กในสังคมก็เปลี่ยนไป ซึ่งไม่ต่างจากอาจารย์หรือครูผู้ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชา ที่ก็มีทั้งสองแบบเช่นกัน จากคุณ : วิรตี เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 54 08:39:21

ความคิดเห็นที่ 57 เกริ่นมามาก ขอบ่นเรื่องอาจารย์ท่านหนึ่ง ที่อยากจะประกาศรายชื่อในนี้ด้วยซ้ำว่า เป็นอาจารย์หรือครูที่ขาดจรรยาบรรณทางวิชาชีพเป็นอย่างมาก ก่อนเปิดเทอม 1 วันไปประชุมผู้ปกครองที่ร.ร.(มีชื่อแห่งหนึ่ง) อาจารย์ประจำชั้น เป็นอาจารย์ใหม่ สอนวิชาภาษาไทย ท่าทางเรียบร้อยดูดีมากๆ จากประวัติเคยสอนที่ ร.ร.ชื่อดังแห่งหนึ่ง ที่มีชื่อดังมากๆ (อยากจะระบุชื่อเหลือเกิน) รอง ผอ.ฝ่ายวิชาการ นำมาแนะนำด้วยตัวเอง ผ่านไปๆ ลูกเริ่มบ่นว่า อาจารย์ประจำชั้น ไม่เคยเอาเอกสารของ ร.ร.มาแจกให้เลย ต้องไปตามหาเอาเอง ไม่เคยมาเจอเด็ก ไม่เคยมาดูเด็กตอนเข้าแถว ไม่เคยสนใจเด็ก เจอแค่ตอนสอนวรรณคดีไทยในห้องเท่านั้น หลังสอบกลางภาคผ่านไป ลูกก็มาบอกว่า อาจารย์ท่านไปแล้ว กลับไปสอน ร.ร.ชื่อดังเดิม หายไปเลย ชีตที่สอนซึ่งรวมกับใบงานเก็บไปหมดเลย คะแนนที่เก็บตั้งแต่ต้นเทอม ทั้งสอบและชิ้นงานไม่ส่งทาง ร.ร. แล้วหนูจะทำยังไง สุดท้ายเรื่องคะแนน ทางร.ร. ก็แก้ปัญหาด้วยการให้งานเด็ก 20 ข้อ ให้ทำส่ง คิดเป็นคะแนนทั้งหมด โดยที่เด็กไม่มีชีตตอนที่เรียนเหลืออยู่เลย เด็กก็บ่นว่า ตั้งใจทำงานส่งทุกชิ้นตั้งแต่ต้นเทอม แต่กลับว่าไม่ได้อะไรเลย พอดีผู้ปกครองมีโอกาสเจอ รอง ผอ.ฝ่ายวิชาการ (ที่โรงอาหารในตอนเช้า) จึงสอบถาม ด้วยความกังขา ถึงวิธีการดำเนินการแก้ปัญหา และแก้ไขกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผู้ปกครอง : เรียนถามอาจารย์เรื่องอาจารย์ศ.... พ...... ที่เป็นอาจารย์ประจำชั้น และสอนวรรณคดีไทยค่ะ อาจารย์ท่านนี้ไม่อยู่แล้ว และไม่ได้ให้คะแนนเด็กไว้กับทางโรงเรียน... รอง ผอ.ฯ : ทางร.ร.ให้ครูภาษาไทยแก้ไขแล้ว ผู้ปกครอง : ที่แจกชีตให้เด็กทำ แต่เด็กไม่มีชีตที่สอนมาตั้งแต่ต้นเทอมเลยนะคะ อาจารย์ศ...เก็บไปหมดเลย รอง ผอ.ฯ : ทางเราแก้ไขแล้ว เด็กไม่เสียประโยชน์หรอก ก็ครูหนีไป ผู้ปกครอง :  - -' ??? (แล้วไงล่ะคะ งง) ไม่ทันพูดอะไรต่อ มีอาจารย์ท่านอื่นเข้ามาคุย ตกลงจัดการอย่างไรหรือ สรุปคือเก็บคะแนนจากชีตอันใหม่ 20 ข้อ โดยให้เด็กทำใหม่งั้นหรือ แล้วอาจารย์ท่านเดิมที่ได้ยินข่าวว่าไปสอน ร.ร.ดังเหมือนเดิมคนนั้นล่ะ ไม่สามารถติดตามสอบถามไปที่ ร.ร.นั้นเลยหรือ อย่างนี้เรียกได้ไหมคะว่า อาจารย์สอนภาษาไทยท่านนี้ ขาดจรรยาบรรณในวิชาชีพครู อย่างมาก ไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ของลูกศิษย์หรือเด็กที่จะเป็นอนาคตของชาติในวันหน้า หากอาจารย์ผู้สอนมีพฤติกรรมไม่รับผิดชอบและขาดจรรยาบรรณเช่นนี้ แล้วลูกศิษย์ที่ถูกสอนสั่งจะเป็นเช่นไร ทำไมโรงเรียนชื่อดัง ร.ร.ที่อาจารย์กลับไปทำงานนั้นจึงรับเข้าทำงานอีก ??? อยากให้มีครูดีๆ ครูที่มีจรรยาบรรณและวิญญาณความเป็นครูเยอะๆ กลัวจริงๆ ที่จะเจออาจารย์หรือครูเช่นนี้ จากคุณ : วิรตี เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 54 08:43:14

ความคิดเห็นที่ 58 ลาออก คือ ทางเลือกที่ดีที่สุดครับ ถ้าไม่รักงานนี้ คุณเป็นครูไม่ได้หรอกครับ เด็กมาจากร้อยพ่อพันแม่ มีทั้งเด็กดีแสนดี ไปจนถึงเด็กเกเรไม่เอาถ่าน หน้าที่ของครู ก็ต้องส่งเสริมให้ทุกๆคนเป็นคนดี มีความรู้ครับ สิ่งที่คุณบ่น มันก็คือ ปัญหาทั่วไปในชีวิตคนทำงาน ที่ทุกๆอาชีพก็ต้องเจอเหมือนๆกัน จากคุณ : อุราฮาร่า เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 54 15:16:07

ความคิดเห็นที่ 59 ผมเจอคำว่า สอบไม่ตรงกับที่เรียน ผมนึกสงสัยครับว่า "สอบไม่ตรงกับที่เรียน" คือแนวเนื้อหาที่ใช้สอบไม่ตรงกับเนื้อหาที่เรียน หรือ ข้อสอบที่สอบไม่ตรงกับข้อที่เคยทำในห้องเรียนกันแน่ -..- หลายคนที่ผมตรวจสอบ ปรากฎเป็นอย่างหลังมากกว่าครับ คือ เนื้อหาที่ใช้ไม่ได้เกินเลยไปกว่าเนื้อหาที่เรียนกัน แต่....เมื่อเจอโจทย์แนวใหม่ๆ กลับกลายเป็นทำไม่ได้ หรือไม่ได้ทำ เพราะเพียงไม่เคยเจอโจทย์แนวนี้เท่านั้น และไม่อยากทำ ไม่อยากคิด เพราะเพียงไม่รู้ถึงวิธีทำ หรือไม่เคยมีใครบอกแนวโจทย์แบบนี้ ซึ่ง........การสอบเข้ามหาลัยหรือเข้าโรงเรียนบางแห่ง จะเจอข้อสอบแบบนี้อีกเยอะครับ ซึ่งถ้าผู้เรียนไม่สามารถคิดวิเคราะห์ได้ ยังไงก็ทำไม่ได้อยู่ดี ด้วยโรงเรียนเองคงอยากให้จัดการง่ายๆล่ะมั้ง ไม่อยากให้เกิดปัญหา ไม่อยากพูดถึง แก้ปัญหาแบบลวกๆ ดีหรือไม่ก็ไม่รู้ จรรยาบรรณจริงๆ แล้วมันเป็นอะไรที่วัดยากมาก ใครจะบอกถึงค่าพวกนี้ได้ชัดเจนกัน ??? ซึ่งมันอาจจะขึ้นกับความพอใจหรือความไม่พอใจหรือป่าวนั่นแหละครับ ผู้ปกครองต้องเรียนรู้และแก้ไขครับ เพราะปัญหาไม่ได้เกิดจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงอย่างเดียว ปรับไปตามสถานการณ์ดีกว่าครับ จากคุณ : RakRok12 เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 54 15:23:17

ความคิดเห็นที่ 60 ผมนึกถึง อาจารย์ติวเตอร์สอนชื่อดัง สอนคนร่วมหลักหมื่นหลักแสนคน คนที่สอบได้เมื่อเทียบกับคนที่เรียนทั้งหมดแล้ว ได้เป็นอัตราส่วนเท่าไหร่??? ซึ่งขนาดติวเตอร์ชื่อดัง ยังไม่สามารถพัฒนาผู้เรียนได้ทุกคน หรือเป็นส่วนใหญ่แล้ว... ใครจะสามารถพัฒนาได้เทียบเท่าติวเตอร์ชื่อดังล่ะนั่น ดังนั้นแล้วใครจะรับผิดชอบได้หมดหรอครับ 5555 ผมเป็นติวเตอร์อ่อนหัด คงไม่สามารถควบคุมทุกคนให้อยู่ในระเบียบได้หรอกครับ แค่ทำให้ดีที่สุดก็เพียงพอ ผลจะเป็นอย่างไรนั้นผมไม่เก็บมาทุกข์ครับ ผมจะถือว่าคนๆนั้นจะต้องเจอกับกรรมของตัวเองครับ ครูก็เป็นคนเหมือนกัน ดังนั้นแล้วย่อมมีจุดจำกัดเช่นเดียวกันกับอาชีพอื่นๆครับ ไม่เช่นนั้นพนักงานกินเงินเดือนทั่วไป คงจะได้เปิดบริษัทหรือเป็นผู้บริหารกันทุกคนแล้วน่ะสิครับ ข้อสรุปของผมคือ ถ้าเตือนแล้วแนะนำแล้วแต่ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย 1 ครั้งไม่ได้ผล 2 ครั้งไม่ได้ผล 3 ครั้งก็ยังไม่ได้ผล ผมก็ปล่อยวางครับ แล้วถือว่าแต่ละคนจะต้องมีจุดที่จะต้องเรียนรู้และได้รับบทเรียนด้วยตัวเองครับ ครูทำหน้าที่ช่วยเหลือ แต่ครูไม่ใช่ผู้ปกครองครับ ดังนั้นแล้วครูจะมองถึงภาพรวมและคนที่ยังสามารถพัฒนาได้ดีกว่าครับ จากคุณ : RakRok12 เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 54 15:32:29

ความคิดเห็นที่ 61 ^ ^ ^ อืม... เข้าใจค่ะว่าเรื่องจรรยาบรรณวัดยาก แต่ความรับผิดชอบ คิดว่าน่าจะมีทุกอาชีพ การที่อาจารย์ ไม่ส่งคะแนนเด็กให้แก่ร.ร.เลย หนีหายไปโดยไม่ทำเรื่องลาออก ทิ้งการสอนขณะที่ใกล้สอบปลายภาค ให้ทุกฝ่ายหาทางออกเอาเองเช่นนั้น อย่างนี้ปัญหาเกิดจากผู้ปกครอง หรือเด็ก นร. หรือคะ หรือเป็นปัญหาส่งผลกระทบต่อเด็กที่ตั้งใจเรียนและส่งงานตั้งแต่ต้นเทอม แม้จะมีโอกาสได้ทำงานอยู่ในแวดวงใกล้ชิดกับการศึกษามามากกว่า 15 ปี แต่ทุกวันนี้ก็ไม่เข้าใจระบบการศึกษาในปัจจุบันอย่างถ่องแท้ มันเปลี่ยนไปมากค่ะ เปลี่ยนจนน่าตกใจ ปล.แต่ยังคงชื่นชมอาจารย์หลายท่าน ที่เป็นครูอย่างแท้จริง มีใจเอื้ออารีและสนับสนุนเพื่อให้เด็กเรียน เคยพบเจอด้วยตนเอง ก็ชื่นชมพวกท่านมาก แม้ท่านเป็นผศ. รศ. เป็นอาจารย์ระดับมหาวิทยาลัย หลายท่านที่เป็นครูโดยจิตวิญญาณ จึงไม่เข้าใจว่าอาจารย์ที่ร.ร.มัธยมท่านนั้น กระทำเช่นนั้นได้อย่างไร จากคุณ : วิรตี เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 54 15:58:45

ความคิดเห็นที่ 62 สิ่งที่น่าเบื่อกว่าที่จขกท.ว่ามา คือผอ.ร.ร.ชอบครูที่เลียเก่งกับชอบเล่นเส้นสายกัน จากคุณ : CCE9PASS เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 54 01:27:46

ความคิดเห็นที่ 63 เราเกลียดที่สุดคือวิชาบรรยาย เพราะอาจารย์บางท่าน บรรยายได้น่านอนเหลือเกิน แต่วิชาปฏิบัติ เรากลับทำได้ดีมากกก และมีถามอาจารย์บ้างเป็นบางครั้ง บางครั้งเจอเทคนิคใหม่ๆที่อาจารย์ไม่เคยเห็นก็ร่วมแชร์ประสบการณ์กับอาจารย์ ตั้งแต่เรียนมาถึงปัจจุบัน อาจารย์ที่สอนกราฟฟิกเราสมัยปวช เป็นอาจารย์ที่สอนได้ดีและเข้าใจมากที่สุด จากคุณ : DekArtKvc เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 54 01:48:53

ความคิดเห็นที่ 65 อยากบ่นดูบ้าง เมื่อวาน เด็กเอางานมาส่ง... และเมื่อวาน ผมต้องทำคะแนนส่ง... และ งานที่ว่า ผมให้ส่งเมื่อก่อน สอบ กลางภาค ปัจจุบัน อาทิตย์หน้า สอบปลายภาค ทวงมาตลอด เพิ่งเอามาส่งตอน ผมส่งคะแนนแล้ว ผมเลยบอกเด็กคนนั้นไปว่า ไว้ส่งเทอมหน้าเถอะ เทอมนี้ เอา ร ไปพลางๆนะ ตกเย็น ผมมีโทรศัพท์ลึกลับโทรมาหา...และขอให้ ไม่ให้เด็กคนนั้นติด ร. หรือ 0 คำถามครับ คุณคิดว่า เด็กคนนั้น จะติด ร หรือไม่ จากคุณ : Sir Genii เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 54 19:59:59

ความคิดเห็นที่ 66 ลึกลับคนนั้นคือ หัวหน้าฝ่ายวิชาการของโรงเรียน หรือ รองผอ.ของโรงเรียน ชิมิ จากคุณ : RakRok12 เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 54 20:11:46

ความคิดเห็นที่ 67 ร่วมบ่น..... วันก่อนเด็กสาวแต่งตัวนศ.ครึ่งท่อน..เสื้อนักศึกษา ติดกระดุม ติดเข็มสถาบัน ม.ราชภัฎในจังหวัด กางเกงกระโปรงสั้นๆ รองเท้าแตะคีบ เล็บทาสีดำ ...เดินลากเท้า..มาทำธุระให้ญาติ ค่อนข้างด่วนแต่มาบ่าย3โมงครึ่ง  ถามรายละเอียดของญาติ(พ่อ) ตอบ "ไม่รู้ ..ไม่รู้"  อ้อ!มากับเพื่อนชายท่าทางสนิท นึกในใจ สงสัยน้องคงไม่มีใครคอยสั่งสอน เพราะดูตามที่อยู่พ่อคือต่างอำเภอ ลักษณะน้องคือคงมาอยู่หอพักเพื่อเรียนหนังสือ เลยตัดสินใจสอน บอก "ทีหลังมาสถานที่ราชการให้แต่งตัวดีกว่า"เด็กตอบว่า "ไม่มีเรียน" ก็เลยต้องสอนต่อว่า "กระดุมและเข็มมันบ่งบอกถึงสถาบันของหนูอยู่แล้ว กางเกงกระโปรงสั้นและรองเท้าแตะแบบนี้คิดเองว่าเหมาะสมไหม  ถ้าไม่แน่ใจลองมองดูสายตาของคนอื่นเวลาเขามองหนูมันบ่งบอกความรู้สึกชื่นชมหรือรู้สึกอย่างอื่น และถ้ามาทำธุระให้คุณพ่อให้มีข้อมูลที่ดีกว่านี้ คำว่า ไม่รู้มันเป็นคำตอบของข้างบ้านไม่ใช่คำตอบของลูก"  ตระหนักว่าเด็กคงไม่ชอบแต่ช่วยไม่ได้ ในเมื่อเขาทำตัวเหมือนไม่มีใครสั่งสอนเลยขอทำตัวเป็นผู้ใหญ่ในสังคมสอนเขาแทนละกัน  เฮ้อ! อนาถใจอนาคตของชาติ จากคุณ : mangpongja เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 11:12:05

ความคิดเห็นที่ 68 บ่นให้น้องๆฟัง เขาบอกว่า ขนาดอาจารย์ของม.ราชภัฎฯเองยังพูดเลยว่า เด็กดีๆเก่งๆเขาก็ไม่มาเรียนที่ราชภัฎอยู่แล้ว ที่มาก็เหลือๆจากที่อื่นเขาไม่เอาแล้ว นึกในใจ คุณพระคุณเจ้า นี่คืออนาคตครูที่จะจบมาสอนเด็กๆของเราเลยนะ เอวังด้วยประการฉะนี้เทอญ  เศร้า จากคุณ : mangpongja เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 11:17:03

ความคิดเห็นที่ 69 ก่อนอื่นเลยผมอยากพูดถึงความล้มเหลวของกระบวนทัศน์การศึกษาไทยตั้งแต่ยุคเริ่มแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ฉบับที่ 1 คนไทยเปลี่ยนสังคมจากสังคมจากยุคชุมชนมาเป็นยุคทันสมัยได้แบบชุ่ยๆ ผลที่ตามมาคืออะไร ทุกอาชีพโหยหาแต่เงินเพื่อให้อยู่รอดในสภาวะทุนนิยม ครอบครัวผู้ปกครองที่อยู่ในกระบวนทัศน์นี้ก็จะมองเห็นแต่เรื่องเงินๆ เงินๆ และก็เงิน ไม่ได้ผ่านความคิดจากสภาพสังคมยุคชุมชนในเรื่องการสอนคุณธรรม เพราะอะไรๆก็เงินๆ เงินๆ เงินๆ ผลที่ตามมาคืออะไร...สังคมลัมเหลวไงครับ ประเทศไทย เด็กไทย คนไทย ไม่พัฒนาใน 10-20 ปีข้างหน้าหรอกครับ ผมกล้าฟันธง ถึงแม้ว่าตึกสูงใน กทม. พัทยา จะเพิ่มขึ้นๆทุกๆปี...แต่คุณค่าจิตใจคนไม่ได้สูงตามตึก ในทางเดียวกันถึงแม้ว่าห้างสรรพสินค้า เทคโนโลยีในต่างจังหวัด เริ่มพัฒนาๆ...แต่ก็ไม่ได้ทำให้จิตใจคนสูงขึ้นเช่นเดียวกัน อะไรคือสิ่งที่ผิด? งั้นหรอ? อธิบายง่ายๆ สังคมไทยเป็นโจทย์คณิตศาสตร์ คนไทยเป็นคนแก้โจทย์ ผู้ที่ใหญ่กว่าสั่งสอนเด็กๆในเรื่องโจทย์คณิตศาสตร์นี้ด้วยวิธีลัดทุกอย่างเท่าที่จะหามาได้ทั้งโกงนิดหน่อยไม่เป็นไรอย่าให้จับได้ คนอื่นทำได้เราก็ทำได้...สุดท้ายเด็กก็ได้ผลลัพธ์มาสวยงาม...แต่เป็นไงละ อะไรที่เน่าเฟะเป็นปัญหาเรื้อยรังมาละ แต่ยังไงก็...เดี๋ยวไทยก็จะเป็นเบาหลอมทางภูมิภาค ASEAN อีกครั้ง ไม่เป็นไรหรอกค่อยๆวางแผนไปละกันจะได้ทัดเทียมกันในทุกประเทศ การพัฒนาประเทศไทยต้องใช้เวลา 300 ปีเป็นอย่างต่ำ รุ่น 1 รุ่น 2 รุ่น 3 รุ่น 4 4 รุ่นนี้อยู่ที่ว่าจะจัดกระบวนการอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ ญี่ปุ่นวางแผนไว้ก็ตั้งเกือบ 200 ปีแล้ว... จากคุณ : Elizarah เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 18:09:28

ความคิดเห็นที่ 70 อยากจะบอกว่าพ่อแม่ผมเป็นครู สอนชั้นประถมศึกษาทั้งคู่ ท่านเป็นครูที่ประเสริฐที่สุดแล้วที่ผมรู้จัก ทุ่มเททั้งการสอน ทุ่มเททั้งสัมพันธ์ชุมชน ตอนนี้ได้อาจารย์ 3 ทั้งคู่แล้ว ท่านก็ยังทำงานไม่หยุดหย่อน จนลูกต้องโทรไปหาบ่อยๆ บอกให้เพลาๆงานลงบ้าง ทั้งงานราษฎ์ งานหลวง มันหนักเิกินไป ครูดีๆ ก็มีมากนะครับ จากคุณ : คนไทยในต่างมุม เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 19:53:51

ความคิดเห็นที่ 71 อยากให้กำลังใจคนทำงานทุกคนว่า ปัญหามีไว้ให้แก้ไข แก้ไม่ได้ก็ยอมรับ  ยอมรับไม่ได้ก็ไปทางอื่นครับ ทุกอาชีพมีปัญหาเหมือนกันหมด และพวกเราก็อยู่ในประเทศที่ซุกปัญหาต่างๆไว้ใต้พรมอย่างมากมาย ให้เทวดามาบริหารก็อาจเป็นลมล้มตายลงไปได้ง่ายๆ ฉะนั้น ในฐานะฟันเฟืองตัวเล็ก ก็ทำงานไปให้ดีที่สุด ยอมอ่อนบ้าง ยอมงอบ้าง เพื่อเรายังสามารถทำในสิ่งที่อยากทำได้ ดีกว่าแข็ง แล้วไม่ได้ทำอะไรเลย แบบนั้นน่าเสียดายนะครับ จากคุณ : คนไทยในต่างมุม เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 19:57:54

ความคิดเห็นที่ 72 เพราะพ่อแม่ก็ไม่มีเวลาจะใส่ใจลูก ก็เลยชอบปัดภาระให้ครู เด็กก็ถูกสปอยด์ เดี๋ยวนี้มีอะไรล่อตาล่อใจมากมาย เพื่อนที่ทำงานเราจบมาพร้อมกันบอกว่าสมัยเรียนลอกตลอดไม่เคยทำเองเลย 0.O พูดแบบขำๆด้วยนะ เห็นมาหลายคนแล้วเหมือนกันที่เป็นแบบนี้ คงนึกว่าเท่มั้ง อนาคตประเทศชาติ ฟังแล้วจิตพาลจะป่วย จากคุณ : Fernnise (Fernnise) เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 54 13:01:32