ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อก่อน ผมก็งงๆ มีทั้งแขกอิสลาม,แขกฮินดู,แขกซิกข์ ถ้าไม่เอาศาสนาเป็นตัวแบ่ง ก็มีแขกขาว,แขกดำ,แขกอินเดีย,แขกตะวันออกกลาง อีก เท่าที่จำ แบบมั่วๆ (ผู้รู้ท่านใด เห็นว่าไม่ถูกต้อง ก็กรุณาชี้แนะ ที) แขกอิสลามดูไม่ยาก ไม่ทานหมู,ประกอบพิธีในมัสยิด,นับถือพระอัลเลาะห์ เครื่องแต่งกายมักเป็นชุดขายยาวสีขาว บางทีก็มีสีอื่น ไว้หนวดและเครายาว บ้างก็สวมหมวกหกเหลี่ยม แขกฮินดู จะนับถือพระตรีมูรติ จุดสังเกตภายนอก ก็มักมีแต้มแดงที่หน้าผาก ถ้าเป็นหญิงก็ห่มส่าหรี ส่วนมากเป็นแขกอินเดีย หาดูได้แถววัดแขก สีลม,ทานมังสวิรัติ,ไม่แตะเนื้อวัว อันนี้เข้าได้กับพวกจีนกินเจเป็นอย่างดี ช่วงกินเจกับงานออกแขก(นวราตรี) มีแต่เจ็กไปร่วมงานเสียเกือบหมด แขกแทบไม่เห็นเลย แขกซิกข์ นิยมโพกผ้า นับถืออันใด ความรู้กระผมไม่ถึง ส่วนมากกลุ่มนี่จะรวย สมัยก่อน ระดับพื้นๆ เริ่มเหยียบแผ่นดินครั้งแรก นิยมทำกิจการขายผ้า แหล่งรวมของกลุ่มนี้อยู่แถวพาหุรัด(เหมือนเจ็กกับเยาวราช) สมัยนี้เป็นเจ้าของบริษัทประกันภัย หรือไม่ก็โรงแรมห้าดาวใหญ่ๆ ก็มี ส่วนอาบังขายโรตี,ถั่ว ที่เป็นแขกจริงๆ เคยเจอพวก ปากีฯ เป็นส่วนมาก เวลาเห็นใครใส่เครื่องแบบราชการมา แทบจะทิ้งของวิ่งหนี ส่วนใหญ่เข้าประเทศผิดกฏหมาย ครับ แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 55 23:36:36 จากคุณ : จาน ชาม ช้อน ส้อม เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 23:30:24

ความคิดเห็นที่ 2 ^ นามแฝงโดนใจมากๆ อ่านกระทู้นี้แล้วมาเห็นนามแฝง คคห.1 ฮากลิ้งเลยฮะ จากคุณ : Sheckler เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 23:54:39

ความคิดเห็นที่ 3 ตอนเด็กๆ ดูลิเก ออกแขก  ของบังเละ ซาลามานาอัดชาฮาเฮ ปลาดุกกระดุกกระดิก เอามาผัดพริกอร่อยดีเฮ ก็งง กะบังเละ  อย่างมาก บังเละ  มันเละ เจงง  มาว ตัลลอด แต่งกายใส่หมวกหนีบดำ แบบอินโด นุ่งกางเกง มีผ้าคาดสะโพก แบบมาเลย์ หน้าตาไม่ต้องบอก  ดั้งไม่มี ตกลง ออกแขก  อี่นี่นานาย แขกอาราย งง  จังเลย แต่ตอนนี้  ผมง่วง แระ เดว พรุ่งนี้มีมุกฮา  ผสมสาระ แบบ  อู้ๆๆอึ้ๆๆ  อีกมากมาย ติดจายผลงาน นายจิม ...บ้า มา  เซาะกราว กันได้เล้ย เนียงๆๆสะลันบองเต้ พี่จิม แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 55 00:05:48 แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 55 00:04:14 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 00:03:51

ความคิดเห็นที่ 4 แขกที่ดีที่สุด   คือ  แขกดอย แขกที่แย่ที่สุดคือ  แขกตี้ จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 01:13:36

ความคิดเห็นที่ 5 ท่าน คห ที่ 1 และ 4  ถุกต้องแล้วก้าบ  เข้าประเด็นที่ซู้ดส์ ขอเพิ่มเติมอีกนิด  คือ แขกจะดิ้ด แขกพวกนี้แย่มากๆๆ  แพร่พันธ์มาในสายเลือดคนไทย ชอบฟรีไม่ชอบจ่าย ถ้าในโลกไซเบอร์  คือเผลอไม่ได้  แขกจะดิ้ด เลย แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 55 07:29:24 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 07:28:36

ความคิดเห็นที่ 6 มาเข้าเรื่องกันดีกว่านะครับ มาดูอาตี๋  อาหมวย นับถือศาสนาอิสลามกันนะครับ ว่าเป็นเช่นไร ชาวมุสลิมในประเทศจีนมีสีสันมาก  ประกอบด้วยคนหลายเชื้อชาติ หลายภาษา  มีความหลากหลายยิ่งกว่ามุสลิมประเทศใดๆ ในโลก  ในขณะที่มุสลิมในประเทศซาอุดิอารเบียประกอบไปด้วยชาวอาหรับซาอุดิฯ ส่วนใหญ่  หรือในตุรกีส่วนใหญ่เป็นชาวเติร์ก  ชาวมุสลิมในจีนกลับประกอบไปด้วยชนชาติต่างๆ ถึง 10 ชนชาติ ได้แก่ หุย (Hui) อุยเกอร์ (Uyghur)คาซัก (Kazahs) เคอร์จิซ (Kyrgyz)  ซาลาร์ (Salar)  ทาจิก (Tajik)  ตาตาร์ (Tatar)  ตงเซียง (Dongxiang)  เปาอัน (Bao"an) และ อุซเบก (Uzbek)  ทั้งวัฒนธรรมประเพณีก็แตกต่างกัน  เป็นที่ที่น่าทึ่งที่สุดในโลก ชาวมุสลิมในประเทศจีนแยกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มเตอร์กิช พูดภาษาเตอร์กิช ใช้ตัวอักษรอารบิก และกลุ่มที่เป็นชาวจีนพูดภาษาแมนดารินหรือจีนกลางเหมือนชาวจีนทั่วไป 1. กลุ่มเตอร์กิช หรือเรียกว่า พวกซินเจียง (Xinjiang Muslims): อุยเกอร์ (อุยกูร) 9.9 ล้านคน คาซัก 1.5 ล้านคน   เคอร์จิซ 200,000 คน ทาจิก 50,000 คน อุซเบก 20,000 คน ตาร์ตาร์ 6,000 คน รวมชาวมุสลิมกลุ่มเตอร์กิช 11.67 ล้านคน 2. ชาวจีนที่พูดภาษาแมนดาริน หรือ ชาวจีนมุสลิม (Inland Muslims/Chinese-speaking Muslims/ Sino-Muslims): หุย 11 ล้านคน ตงเซียง 520,000 คน   ซาลาร์ 120,000 คน เปาอัน 20,000 คน ชาวฮั่นที่เปลี่ยนมานับถืออิสลาม ประมาณ 50,000~60,000 คน (ชาวฮั่นที่เปลี่ยนมานับถืออิสลามก่อนปีค.ศ.1949 ถูกจัดให้เป็นชาวหุย  แต่พวกที่รับอิสลามหลังปีค.ศ.1949 ยังถือเป็นชาวฮั่นแม้ว่าบางส่วนอาจเปลี่ยนเชื้อชาติจากฮั่นมาเป็นหุยบ้างแล้ว) รวมชาวมุสลิมกลุ่มที่พูดภาษาแมนดาริน 11.64 ล้านคน รวมประชากรชาวมุสลิมในประเทศจีนทั้งหมด 23.31 ล้านคน ชาวมุสลิมส่วนใหญ่อาศัยอยู่บริเวณเทือกเขา และแอ่งทะเลทรายแถบตะวันตกเฉียงเหนือ ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยเกอร์ (The Xinjiang Uygur Autonomous Region)  เขตปกครองตนเองหนิงเซี่ยหุย (The Ningxia Hui Autonomous Region)  นอกจากนี้ชาวหุยอาศัยอยู่ในที่ราบภาคกลางแถบแม่น้ำเหลือง กันซู่ (Gansu), ชิงไห่ (Qinhai), เหอหนัน (Henan), เหอเป่ย (Hebei), ซันตง (Shandong),  มณฑลยูนนาน (Yunnan) ทางตะวันตกเฉียงใต้ ในเมืองใหญ่ชายฝั่งทะเลตะวันออกของจีน  รวมทั้งเกาะไหหลำ (Hainan) จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 07:35:54

ความคิดเห็นที่ 7 เห็นมะ อาหวยใส่อิญาบสีเขียวสะด้วย จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 07:36:45

ความคิดเห็นที่ 8 นี่คือข้อความในพระคัมภีร์ อัลกรุอาน แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 55 07:37:38 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 07:37:23

ความคิดเห็นที่ 9 ชาวจีนมุสลิมและกังฟู Chinese Muslims and Wushu   จีนเป็นประเทศที่มีประชากรหลากหลาย มีชนกลุ่มน้อย 55 ชนชาติ ชาวหุยเป็นชนกลุ่มน้อยที่ใหญ่ที่สุด การถือกำเนิดขึ้นและการเติบโตของประชากรชาวหุยร้อยประสานไปกับศาสนาอิสลาม ชาวหุยจึงถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ชาวมุสลิม ช่วงราชวงศ์ซ่ง (ค.ศ.960-1279) หรือช่วงศตวรรษที่ 10 มีชาวเปอร์เซียและอาหรับจำนวนมากมายเดินทางเข้ามาค้าขายยังจักรวรรดิจีน บางส่วนตั้งรกรากอยู่ในเมืองจีนเป็นการถาวร ซึ่งนำไปสู่การแพร่ขยายของศาสนาอิสลาม หลังศตวรรษที่ 13 จำนวนชาวหุยมุสลิมเติบโตอย่างรวดเร็วและรวมตัวเป็นเชื้อชาติของตน ในแง่ภูมิศาสตร์แล้วชาวหุยกระจายตัวตั้งถิ่นฐานอยู่ทั่วไปทุกส่วนของประเทศจีน ส่วนใหญ่อาศัยเป็นกลุ่มก้อนในชุมชนชาว วีรกรรมของบรรพบุรุษชาวหุย เป็นที่รู้กันดีในประเทศจีนว่า ชาวหุย หรือ ชาวจีนมุสลิม เป็นกลุ่มชนที่อดทนและกล้าหาญอย่างยิ่ง กล้าต่อสู้กับความอยุติธรรมและการกดขี่ คุณลักษณะอันน่าชื่นชมนี้สามารถสืบไปได้ถึงอดีตอันไกลโพ้น ในยุคสมัยศักดินา ชาวหุยถูกกดขี่และถูกปราบปรามอย่างรุนแรงทุกครั้งที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับอำนาจอธรรมของผู้ปกครอง ตัวอย่างเช่นในยุคราชวงศ์ชิง (ค.ศ.1644-1911) ที่แมนจูเข้ามาปกครองจีน ราชสำนักชิงออกกฎว่า หากชาวหุยเดินไปไหนด้วยกันเกินสามคนโดยพกพาอาวุธไปด้วยจะถูกลงโทษขั้นเฉียบขาด และหากชาวหุยคนใดก่ออาชญากรรม จะโดนสักบนใบหน้าว่า "หุยกบฏ" (Hui zei) ทั้งนี้เพื่อต้องการให้ชาวหุยได้รับความอับอาย ในขณะเดียวกันก็เพื่อข่มขู่มิให้ลุกฮือขึ้นมาต่อต้านราชวงศ์ชิงอีก แต่การปราบปรามดังกล่าวมิได้ทำให้ชาวหุยเกรงกลัวเลย แต่โจมตีกลับและการต่อสู้อันยืดเยื้อยาวนานของชาวหุยกับราชวงศ์ชิงซึ่งเป็นราชวงศ์ของชาวต่างชาติที่มายึดครองแผ่นดินจีนทำให้มีวีรบุรุษจำนวนมากมายถือกำเนิดในหมู่นักรบชาวหุย ช่วงปลายราชวงศ์หยวน (ค.ศ.1279-1368) จูหยวนจาง เป็นชาวนาผู้นำทัพชาวจีนขับไล่มองโกลออกไปจากแผ่นดินจีนได้ ปราบดาตัวเองขึ้นเป็นปฐมจักรพรรดิราชวงศ์หมิง (ค.ศ.1368-1644) แม่ทัพใกล้ชิดของพระองค์ทั้ง 6 คนเป็นยอดกังฟูมุสลิม ได้แก่ ชางอี้ว์ชุน (Chang Yuchun), หูต้าห่าย (Hu Dahai), หมู่อิง (Mu Ying เป็นลูกบุญธรรมของจูหยวนจาง และได้ไปครองมณฑลยูนนาน), หลันอี้ว์ (Lan Yu), เฟิงเซิง (Feng Sheng), และ ติงเต้อซิง (Ding Dexing) แม่ทัพชางอี้ว์ชุนเป็นผู้คิดค้นวูซูที่โด่งดังคือ ไค่ผิงเฉียงฟา (Kai Ping Qiang Fa) หรือการต่อสู้ด้วยทวน วูซูประเภทนี้ยังคงสอนกันอยู่ในเมืองจีนจนกระทั่งทุกวันนี้ หม่าโส่วอิง (Ma Shou Ying) ผู้ร่วมมือกับ หลี่จื้อเฉิง (Li Zi Cheng หรือ King Cheng) ลุกฮือขึ้นมาต่อสู้ช่วงสิ้นสุดราชวงศ์หมิงก็เป็นชาวหุยมุสลิม หม่าเป็นผู้นำของกองทหารชาวหุย เขาถูกเรียกว่า "เหล่าหุยหุย" (Lao Hui Hui) หรือ "หุยอาวุโส" และกองทหารของเขาซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมถูกเรียกว่า "กองทหารเหล่าหุยหุย" (Lao Hui Hui Battalion) ในปีค.ศ.1862 ตู้เหวินสิ่ว (Du Wen Xiu) เคยนำทัพชาวหุยในมณฑลยูนนานต่อต้านจักรพรรดิถ่งจื่อ (Tong Zhi) แห่งราชวงศ์ชิง และเขาสามารถยึดพื้นที่แถบตะวันตกเฉียงเหนือ และตะวันตกเฉียงใต้ได้มากมาย ในการต่อสู้เพื่อเสรีภาพตลอดหลายศตวรรษ ชาวหุยได้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับชาวฮั่นและชนกลุ่มน้อยอื่นๆ เนื่องจากพวกเขาต่างก็ประสบชะตากรรมคล้ายคลึงกันในช่วงการปกครองในระบอบศักดินา   ก่อนจะมีการคิดค้นอาวุธปืนขึ้นมา การสู้รบและป้องกันตัวในประเทศจีนจะใช้วิชากังฟูเป็นหลัก ผู้นำชาวหุยมักเรียกร้องให้ชาวหุยฝึกหัดกังฟูให้เชี่ยวชาญ โดยถือว่าการฝึกกังฟูเป็นการ "ฝึกตนเพื่อพระผู้เป็นเจ้า" ซึ่งช่วยให้ชาวหุยมีวินัยและกล้าหาญโดยเฉพาะต้องอยู่รอดให้ได้ในดินแดนที่มิใช่ปิตุภูมิของตนเอง (หมายเหตุ: แม้จนปัจจุบันชาวหุยจำนวนมากยังถือว่า ดินแดนปิตุภูมิของพวกเขาคือแผ่นดินอารเบีย เพราะต้นตระกูลของพวกเขาคือ พ่อค้าอาหรับ-เปอร์เซีย ส่วนจีนคือแผ่นดินเกิดและมาตุภูมิ) แวดวงปรมาจารย์กังฟู ยอดกังฟูเกิดขึ้นมามากมายจากชุมชนชาวหุยมุสลิมตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิงเป็นต้นมา มิได้เพียงเป็นนักมวยที่ยอดเยี่ยมแต่ได้คิดค้นสไตล์กังฟูขึ้นมามากมายที่ยังคงได้รับความนิยมกันอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้ ปรมาจารย์ชาวหุยมีบทบาทอย่างมากในการทำให้คุณค่าและคุณภาพและความกังฟูจีนคับแก้ว กังฟูมีพัฒนาการสำคัญช่วงราชวงศ์หมิง ในหนังสือ จี่เสี่ยวสินซู (Jixiao Xinshu) เขียนโดย ชีจี้กวาง (Qi Ji Guang) นักกลยุทธ์การทหารสมัยหมิงระบุว่า สำนักกังฟูที่โดดเด่นด้านการใช้ทวนมีอยู่ 3 สำนัก ได้แก่ สำนักทวนตระกูลหยาง (Yang) ตระกูลหม่า (Ma) และตระกูลซา (Sha) ซึ่ง หม่าฟงถู (Ma Fengtu ค.ศ.1888-1973) ยอดปรมาจารย์กังฟูและเป็นพ่อผมเองระบุไว้ในหนังสือ Youyi Lu (รายชื่อสไตล์) ว่า ตระกูลหม่าและตระกูลซาเป็นชาวหุยมุสลิม ทุกวันนี้ลูกหลานของทั้งสองตระกูลยังคงสืบทอดตำราทวนต้นตำรับของตระกูล นอกจากนี้ "หุยหุยซือปาโจว" (Hui Hui Shi ba Zhou หรือ การฝึกการต่อสู้ 18 หมัดมวยของชาวหุย) ยังขึ้นชื่อว่าเป็นการฝึกการต่อสู้ที่ดีที่สุด เป็นกังฟูยอดนิยมช่วงปลายราชวงศ์หมิง กานเฟิงชี (Gan Feng Chi) ผู้นำชื่อก้องในการต่อต้านราชวงศ์ชิงได้รวมการฝึก 18 หมัดมวยของชาวหุยไว้ในหนังสือดังของเขาชื่อ  หัวเฉวียนจงเจี้ยงฟา (Hua Quan Zong Jiang Fa หรือ การสนทนาเรื่องหมัดมวยท่าสวยงาม) มีกังฟูหลายประเภทที่นิยมกันในช่วงกลางและปลายราชวงศ์ชิง หลายแบบคิดค้นขึ้นมาโดยชาวหุย อย่าง "เจียวเหมินถานถุ้ย" (กังฟูเตะด้วยขาล่าง) ที่ฮิตกันอยู่ในทุกวันนี้ก็เกิดขึ้นมาในช่วงนี้ ดังที่มีประโยคฮิตว่า: "จากนานจิงไปปักกิ่ง กังฟูที่เตะเก่งที่สุดต้องเป็นชาวหุย" เมืองหลวงแห่งกังฟู เมืองชางโจว มณฑลเหอเป่ย เป็นที่ตั้งของชุมชนชาวหุยมุสลิมขนาดใหญ่ เมืองนี้ถูกขนานนามว่า "เมืองหลวงแห่งกังฟู" ชาวบ้านไม่ว่าจะผู้ชายหรือผู้หญิง เด็กหรือผู้ใหญ่ แก่เฒ่าชราปานใดต่างก็หลงใหลในวิชากังฟู และจากการสั่งสมวิชากันมานานนับศตวรรษชาวหุยจำนวนมากจึงกลายเป็นยอดกังฟูแห่งเมืองจีน และสร้างสรรค์สไตล์กังฟูของตัวเองขึ้นมา ปาจี๋เฉวียน (Bajiquan หมัดแปดปรมัตถ์) ที่ฝึกกันอย่างแพร่หลายทั้งในประเทศจีนและทั่วโลกนั้นสืบสายมาจาก อู๋จง (Wu Zhong) ยอดมวยชาวหุยมุสลิมยุคปลายราชวงศ์ชิง รวมทั้ง "ลิ่วเหอ" (Liuhe หมัดจิตใจหกประสาน) ที่ใช้ทวนก็สืบทอดมาโดยลูกหลานของเขาซึ่งต่อมาย้ายไปอยู่ที่หมู่บ้านหมิงชุน (Mengcun) หม่าฟงถู (Ma Fengtu ค.ศ.1888-1973) พ่อของผมเป็นผู้คิดค้นมวย "ทงเป่ย พิกั้วเฉวียน" (Tongbei Piqua Quan) ขึ้นมา ตอนนี้เป็นมวยสำคัญแบบหนึ่งของโรงเรียนกังฟู เป็นแบบพิเศษเฉพาะและมีท่าฝึกสวยงาม ต่อมาในปี 1919 พ่อผมและเพื่อนๆ ร่วมกันก่อตั้งสมาคมนักรบผู้รักชาติแห่งประเทศจีน (the patriotic China Warriors Society) โดยมีพ่อผมเป็นรองประธานสมาคมและครูฝึกคนสำคัญ พ่อเป็นคนที่อุทิศชีวิตเพื่อกังฟูและมีบทบาทอย่างมากในการพัฒนากังฟูของจีนทั้งด้านการฝึกหัดและทฤษฎี หม่าอิงถู (Ma Yintu ค.ศ.1898-1956) อาของผมก็เป็นยอดปรมาจารย์กังฟูอีกคนหนึ่ง มีชื่อเสียงเรื่องผลักมือ ตอนมีการจัดแข่งขันกังฟูครั้งแรกในปี 1929 อาผมชกชนะคู่แข่งรวดได้เป็นแชมป์ในครั้งนั้น อาและพ่อผมได้รับยกย่องเป็น "สองยอดปรมาจารย์กังฟู" ลูกหลานของท่านทั้งสองยังคงฝึกกังฟูสืบทอดต่อกันมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ส่วน หวังจื่อผิง (Wang Zi Ping ค.ศ.1881-1973) ยอดกังฟูมุสลิมอีกผู้หนึ่งก็มาจากเมือง ชางโจว เช่นเดียวกัน หวังรู้จักกันดีในฐานะชายผู้มีร่างกายแข็งแกร่งและว่องไวอย่างเหลือเชื่อ หวังเคยเป็นศิษย์ของ อิหม่ามหยางหงซิ่ว (Imam Yang Hong Xiu 楊鴻修  ค.ศ.1861-?) แห่งมณฑลซันตง อิหม่ามหยางเป็นปรมาจารย์ชาเฉวียนผู้คว่ำยอดกังฟูมานักต่อนักแล้วด้วยฝีมือที่ร้ายกาจ ต่อมาหวังจื่อผิงกลับโดดเด่นเหนือกว่าอาจารย์ของตัวเอง หวังสร้างชื่อจากการคว่ำคู่ต่อสู้จากต่างประเทศได้มากมาย หวังเป็นรองประธานสมาคมกังฟูจีน ตั้งแต่ประเทศจีนเปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นแบบคอมมิวนิสต์ ยอดกังฟูชาวหุยจำนวนมากสร้างชื่อเสียงขจรขจาย ในบรรดายอดศาสตราจารย์และอาจารย์กังฟู 10 คนแรกที่สอนและวิจัยอยู่ในสถาบันของรัฐทั่วประเทศนั้น เป็นชาวหุยถึง 4 คน!! ในโลกสมัยใหม่กังฟูมิได้มีความหมายมากมายในการต่อสู้ป้องกันตัว แต่มักฝึกฝนเพื่อความแข็งแรงของร่างกายมากกว่า กังฟูมีท่วงท่าที่สวยงามและฝึกกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกาย กังฟูจีนได้เผยแพร่ไปสู่แทบทุกส่วนของโลกทั้งในเอเชีย ยุโรป อเมริกา ที่เมืองจีนเองก็มีการฝึกกังฟูกันโดยทั่วไปในกลุ่มคนทุกเชื้อชาติ โดยเฉพาะในชุมชนชาวหุยที่ถือเป็นประเพณี ในการฉลองเทศกาลสำคัญ 3 วันของชาวหุย ทั้งไบรัมเล็ก (สิ้นสุดรอมดอน อีดิลฟิตรีย์ บ้านเราเรียก ออกบวชเล็ก หรือ ฮารีรายอ, ฮารีรายา), วันกุรบ่าน (อิดิลอัดฮา, ออกบวชใหญ่, ฮารีรายาฮายี) และวันเมาลิดนบี ชาวหุยจะรวมตัวกันที่มัสยิดจัดแสดงโชว์หรือไม่ก็แข่งขันกังฟู ชาวหุยในประเทศจีนมีบทบาทสำคัญในการพัฒนากังฟูมานานนับศตวรรษจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ที่มา: Ma Xianda. Chinese Moslems and Wushu. Wushu Among Chinese Moslems. Bright Sun (Shen Zhen) Printing, Beijing: People"s Republic of China. First Edition 1984. จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 07:43:35

ความคิดเห็นที่ 10 หูจิ่นเทาเยี่ยมมณฑลยูนนาน President Hu Jintao Visits Yunnan Province ช่วงวันที่ 25-28 กรกฎาคม 2552 นายหูจิ่นเทา ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีนได้เดินทางเยี่ยมเยียนชาวมณฑลยูนนาน ตามรูป  ประธานาธิบดีหูจิ่นเทาเยี่ยมเยียนชาวบ้านเชื้อชาติหุยและอี๋ที่หมู่บ้านชูเสียง ด้านตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลยูนนาน เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2009 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 07:47:14

ความคิดเห็นที่ 11 ประธานาธิบดีหูจิ่นเทากำลังคุยกับชาวบ้านเชื้อชาติหุยและอี๋ที่หมู่บ้านชูเสียง ด้านตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลยูนนาน จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 07:47:53

ความคิดเห็นที่ 12 ประเด๊๋ยวจะหาว่าผมชอบตัดแปะ  มาดูของจริงกันเลยดีกว่านาก้าบ พี่จิม มีโอกาส  ได้เดินทางไปเซี่ยงไฮ้  เพราะมีธุรกิจกันที่นั่น แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 55 07:52:03 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 07:51:18

ความคิดเห็นที่ 13 ชาวจีนมุสลิมทั่วประเทศต้อนรับรอมดอน Chinese Muslims Greet Holy Month of Ramadan ชาวจีนมุสลิมนับล้านๆ คนทั่วประเทศต้อนรับเดือนรอมดอน เดือนแห่งการถือศีลอดและการสะท้อนทางจิตวิญญาณภายใน หม่า กั๊วะสิง , ชาวนาวัย 48 ปี, เป็นชาวหุยมุสลิมในหมู่บ้านถวนเจี่ย เมืองอู๋จง เขตปกครองตนเองหนิงเซี่ยด้านตะวันตกเฉียงเหนือของจีน รวมทั้งชายมุสลิมอีกนับพันคนตื่นตั้งเช้าตรู่ของวันเสาร์เพื่อไปละหมาดยังมัสยิดของหมู่บ้าน ต้อนรับวันแรกของเดือนรอมดอน “รอมดอนเป็นเพือนพิเศษของเราชาวมุสลิม” หม่ากล่าว “หากทำความดีในเดือนรอมดอน เราจะได้รับผลบุญเป็นเท่าตัวเหนือกว่าเดือนอื่นๆ” “ทั้งปีที่ผ่านมา เรารอคอยเดือนนี้เพื่อจะทำความดีมากขึ้น” เขาอธิบาย ช่วงรอมดอน ซึ่งเป็นเดือนที่ 9 ตามปฏิทินอิสลาม ชาวมุสลิมจะละเว้นจากการกิน ดื่ม และสูบบุหรี่ ช่วงพระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตก เมื่อสิ้นสุดเดือน พวกเขาจะเฉลิมฉลองใหญ่โตเรียกว่า เทศกาลอีดิลฟิตรีย์ (ชาวจีนมุสลิมเรียกว่า วันไบรัมเล็ก หรือ ไบรัมฟิตรีย์ ตามจักรวรรดิออตโตมาน จักรวรรดิมุสลิมแห่งสุดท้ายซึ่งล่มสลายไปเมื่อปี 1922 เหลือเพียงประเทศตุรกีในทุกวันนี้ – ผู้แปล) ชาวหุยในเขตปกครองตนเองหนิงเซี่ยหุยเริ่มต้นเดือนรอมดอนในวันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม บางพื้นที่ของจีนก็เข้าเดือนรอมดอนในวันศุกร์ 21 สิงหาคม 52 “รอมดอนเพิ่มพูนศรัทธาของเรา ไม่เห็นแก่ตัว สอนให้เราใช้ชีวิตในรูปแบบที่ดีต่อสุขภาพ” เจียนหมิง, หนุ่มน้อยชาวหุย, กล่าว ที่มา: Chinese Muslims Greet Holy Month of Ramadan. www.english.cri.cn/ 22 August 2009. จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 07:59:51

ความคิดเห็นที่ 14 นี้ก็การละหมาดในวันตรุษ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 08:00:41

ความคิดเห็นที่ 15 นี่ก็ใช่ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 08:01:13

ความคิดเห็นที่ 16 ส่วนเพื่อนท่าไหนบอกว่า การคลุม อิญาบ เป็นวัฒนธรรมอาหรับ ก็มาดูกันนะครับ การคลุมอิญาบ เป็นวัฒนธรรมอิสลามสากล และเป็นวัฒนธรรมอิสลามประจำชาตินั้นๆ รวมทั้งเป็นวัฒนธรรมการแต่งกายของชาวไทยมุสลิม นาจร้า เข้าใจผิดคิดใหม่ได้ ชาติไทยสถาพร แต้กกกก...ขับเรือวนในอ่าง มันก็ต้องเป้นแบบนี้แระ อาหมวย ทั้งน้าน  มะใช่อาบัง นาก้าบ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 08:07:07

ความคิดเห็นที่ 17 นี่ก็ อา ม่า มุสลิม  มะช่ายยย  อี่นี่...นะนาย.......อาบังนาก้าบ แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 55 08:59:05 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 08:07:49

ความคิดเห็นที่ 18 ประเทศไทยมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ในอดีต พื้นที่ซึ่งเป็นประเทศไทยในปัจจุบันได้มีมนุษย์เข้ามาอยู่อาศัยตั้งแต่ยุคหินเก่าเป็นต้นมา คือ ราว 20,000 ปีที่แล้ว ภูมิภาคดังกล่าวได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมและทางศาสนาจากอินเดีย นับตั้งแต่อาณาจักรฟูนัน เมื่อราวคริสต์ศตวรรษที่ 1 แต่สำหรับรัฐของคนไทยแล้ว ตามตำนานโยนกได้บันทึกว่า การก่อตั้งอาณาจักรของคนไทยครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อราว พ.ศ. 1400[32] หรืออีกทัศนะนึง คนไทยได้อพยพ มาจากเทือกเขาอัลไต ในประเทศจีน แล้ว กระดืบๆๆลง มา ยัน ที่เป็นดินแดนทุกวันนี้ จากสองทฤษฎีนี้ ก็กลายเป็น คนไทย คือ อาบัง ผสม อาหมวย มาตั้งแต่โบรานกาล สรุปจะไปเหมาคิดว่า อาบัง กะ อาหมวย ไม่ใช่คนไทย ไม่ถูกต้องนัก จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 08:14:52

ความคิดเห็นที่ 19 จากประวัติมุสลิม ในประเทศจีน รวมทั้งที่ยูนาน และจะนำเสนอต่อไปอีก ..แต่ตอนนี้อุบอิบอับ ไว้ก่อน คนไทย ต้องอพยพ จากเทือกเขาอัลไต ผ่านยูนาน การอพยพของเผ่าชน ผ่านดินแดนต่างๆ  ย่อมกวาดต้อนผู้คน และเกิดการพบรัก ปิ๋งงงงง  กับคนท้องถิ่น ที่ผ่านมา เพราะฉะนั้น การเป็นชาติไทย ตั้วแต่ก่อน สุโขทัย  ย่อมเป็นการรวมชาติ ของหลากหลายพันธ์ หลากหลายความเชื่อต่อหลักศาสนา เพราะฉะนั้นจะมาเหมารวม ว่า คนไทยมุสลิม มาอาศัยประเทศไทย อยู่  ก็เป็นสมมุติฐาน ที่อยู่บนพื้นฐาน อคตินิยม  ไม่ใช่ชาตินิยม ด้วยความเคารพ พี่จิม กระรอกน้อย พลอยรัก  เปลี่ยนระบบคิดในสมองสะบ้างนะ ประเทศชาต ของเราจะได้มีความรักสามัคคี กัน แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 55 08:32:56 แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 55 08:23:29 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 08:19:15

ความคิดเห็นที่ 20 ผมทำธุรกิจ กับเพื่อนที่ประเทศจีน หลากหลายครั้งที่เดินทางไป แต่ไม่มีโอกาส เดินทางไป Xian หรือ ซีอาน อยากไปมากๆเที่ยวหน้าคงได้มีโอกาส  เดินทางไป (อินชาอัลเลาะห์) ถามว่าทำไมอยากไป ตอบว่า เพราะดูสารคดี เส้นทางสายไหม เมื่อ 30 กว่าปีก่อนแล้วอยากไป มีเสน่ห์ดึ ดึงดูดใจ เรื่องอาหารการกินมากมาย  ผมมีเกร็ดเกี่ยวกับมุสลิม ใน ซีอาน มาเล่าสู่กันฟัง ดังนี้ครับ   ***************************************************** ถนนชีวิตชาวหุย (Muslim Square Xian จัตุรัสมุสลิมซีอาน) ชาวจีนย่านนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ใช่แต่เฉพาะอาหารการกินที่มีกลิ่นและรสแปลกๆเท่านั้น การแต่งกายก็ยังแตกต่างไปจากชุมชนชาวจีนอื่นๆหญิงสวม ฮิญาบ หรือผ้าคลุมหน้าตามแบบหญิงมุสลิมพวกผู้ชายสวมหมวกกลมกลางศีรษะ ชุมชนแห่งนี้เรียกตัวเองว่า "หุย" มีวิถีชีวิตสุขสงบ อยู่หลังกำแพงเมืองด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง เวลานั้นตรงกับช่วงที่ท่านนบี มูฮัมหมัด (พ.ศ.1113 -1175 ) พระบรมศาสดาผู้ก่อตั้งศาสนาอิสลามได้สิ้นชีวิตไปแล้ว 30 ปี คำสอนของท่านซึ่งเริ่มต้นเผยแพร่ในหมู่ญาติสนิท ได้แผ่ขยายกว้างขวางไปทั่วคาบสมุทร อารเบีย ขณะที่อาณาจักรมุสลิมใหม่เพิ่งก่อตั้งขึ้นในซีเรีย บรรดาพ่อค้าอาหรับและเปอร์เซีย เดินทางค้าขายทางบกมาตามเส้นทางไหม ผ่านเขาเทียนซาน ซินเจียง อุยกูร์ จนถึงฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเหลือง สู่ฉางอาน (ฉางอัน Chang An) หรือ ซีอาน ในปัจจุบัน พ่อค้าเหล่านั้นได้นำศาสนาอิสลามเข้าสู่แผ่นดินจีนมาด้วย ส่วนอีกสายหนึ่งมาทางเรือ ในสมัยราชวงศ์สุยผ่านคาบสมุทรอินเดีย ขึ้นฝั่งแถบเมืองท่ากวางตุ้งและฮกเกี้ยน จากนั้นศาสนาอิสลามก็แพร่หลายอย่างมั่นคงยาวนาน ยุคของถังไท่จงฮ่องเต้เปิดกว้างต้อนรับทุกศาสนา โปรดฯให้ชาวหุย สร้างศาสนสถานไว้ใช้เป็นสถานที่ประกอบศาสนากิจ อยู่ที่ด้านหลังกำแพงเมืองฉางอานทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ราว พ.ศ.1285 เรียกกันว่า "สุเหร่าใหญ่ชิงเจิน หรือชิงเจินสือ" ต่อมาได้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ตลอดมาหลายราชวงศ์ ทั้ง ซ่ง หยวน หมิง และ ชิง (แมนจู) จนถึงยุคปฏิวัติทางวัฒนธรรม รัฐบาลพรรคคอมมิวนิวสต์ พยายามลดความร้าวฉานทางลัทธิศาสนาต่างๆรวมทั้งแก้ไขนโยบายทางศาสนาของชนกลุ่มน้อย ส่งผลให้สุเหร่าผุดพรายกระจายทั่วแผ่นดินจีนกว่า 21,000 แห่ง และยังจัดสรรกองทุนพิเศษทะนุบำรุงสุเหร่าใหญ่ทุกปี ทำให้อาคารสิ่งปลูกสร้างต่างๆที่อยู่ภายในสุเหร่ายังคงความสมบูรณ์มั่นคงแข็งแรงถูกใช้สอยเป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจเสมอมา และยังได้รับยกย่องให้เป็นโบราณสถานทางศาสนาอิสลามใหญ่ที่สุด 1 ใน 4 แห่งของเอเชียที่มีเอกลักษณ์เฉพาะทางสถาปัตยกรรมจีนผสมผสานความเชื่อตามหลักการของศาสนาอิสลามอันงดงามหาชมได้ยาก ภายในสุเหร่าใหญ่ ได้จัดแสดงพิพิธภัณฑ์ศิลปวัตถุล้ำค่าหายากตามหมู่อาคารต่างๆไว้อย่างน่าสนใจ พร้อมกับอนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าเยี่ยมชม มีพี่น้องมุสลิมทั่วโลกมากกว่า 100 ประเทศ หรือกว่า 600,000 คน รวมทั้งผู้นำรัฐบาลและผู้นำประเทศอีกจำนวนมากเข้ามาเยี่ยมเยือน ด้วยความเคารพ พี่จิม แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 55 09:09:25 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 09:08:32

ความคิดเห็นที่ 21 อ่านแล้วรู้สึกว่าพี่จิมจะรู้รายละเอียดมุสลิมจีนเยอะ พอดีผมมีเรื่องอยากรู้สักเรื่องนึง ว่า ที่โน่น มีวัฒนธรรมที่ไม่เป็นไปตามสุนนะห์บ้าง แบบที่บ้านเราก็กินบุญขึ้นบ้านไหม่,คนตาย ฯลฯ จากคุณ : mage_mann เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 09:34:54

ความคิดเห็นที่ 22 คูณ mage_mann ในประเทศจีน  ก็เหมือนประเทศเรา นั้นแหละครับ มีหลายมัซฮับ มีตามสุนนะห์และไม่ตาม   แต่ความน่ารักของเค้าคือ  เค้าไม่ทะเลาะกันเอง ใครจะทำอะไรก็ทำ ที่พี่จิม สนใจ เรื่องมุสลิมในจีนเป็นพิเศษ  เพราะผมเป็นคนรุ่นเก่า ที่ต้องอยู่ภายใต้แรงกดัน ของเพื่อนๆที่แกล้ง ที่เรียกว่า แขก ที่แกล้งโยนหมูใส่กระป่องข้าว ทั้งที่พี่จิม สืบสาวบรรพบุรุษได้ยันกลาง สมัยกรุงศรีอยุธยา และภาคภูมิใจในการที่บรรพบุรษของผมได้ช่วยกันรักษาประเทศนี้เอาไว้ เพราะฉะนั้น ใครมาเรียกผมว่าแขก  ผมเลยสวนให้ตั้งแต่เด็กว่า  ผมไม่ใช่แขก  แต่ที่แน่ๆ คนที่ว่านะ คนไทย หรือเปล่า พี่จิมต้องการหักล้าง คำว่าแขก เป็นการแบ่งชาติพันธ์ หรือคำว่าแขกเป็นคำเรียก แทนผู้ที่รับนับถือศาสนาอิสลาม จริงๆ  คำนี้ควรเลิกใช้กับมุสลิม ไปได้ตั้งนาน  เพราะมีพวกกระรอก เอาคำนี้มาหากิน เหมาตนเองว่า ใครเป็นแขกไม่ใช่เจ้าของผืนดินบนประเทศนี้ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 10:20:19

ความคิดเห็นที่ 23 นี่ก็ร้านอาหารอิสลาม  ในเซี่ยงไฮ้  ร้านนี้อยู่ในตลาด Walking street หลังสะพาน หนานปู ร้านนี้ถูกมาก  ก๋วยเต๋ยวชาม เบ้อเหิ่ม 10 หยวน จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 10:39:29

ความคิดเห็นที่ 24 เวลาผมไปประเทศจีน  ผมจะรีเควซ พิเศษ บอกโรงงานที่จีนว่า  ไออยากได้โรงแรมที่ใกล้ ร้านอาหาอิสลาม  เพราะอยากทานอาหารจีน  ที่ฮาลาล  บ้านเราหาทานยาก เมื่อก่อนมีอยู่ร้านนึงที่ ถนนเดโช ชื่อร้าน ซินจึง  ตอนนี้หายไปไหนไม่รู้ เหลือแต่ก๋วยเตี๋ยวเป็ด ฮาซัน ย่านวัดพระยาไกร ถ้าความอยากกิน อย่างมาก ก็ขับรถไปกินที่แม่สาย เพียบเลย ไม่ใช่แต่ประเทศจีน  ที่ผมสนใจ  ประเทศอินเดียก็ไปมาหลายรอบ หาเรื่องไปเพราะ เพื่อนฮินดู เป็นเพื่อนเลิฟกันชวน เอี่ยวเรื่องธุรกิจ  ไปทุกครา ก็รีเควซ โรตี นาน กับ แกงดาล พร้อม หอมแดงดอง กับ หอมใหญ่สไลด์ เป้นเครืองเคียงเสมอ แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 55 10:49:52 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 10:45:37

ความคิดเห็นที่ 25 เมื่อสมมุติฐาน  มุสลิมว่าเป็นแขก นั้นคลาดเคลื่อน ไม่ถูกต้องแล้ว อิสลาม คือศาสนาของประชาคมโลก เป็นส่วนหนึ่งของชาติพันธ์ในทุกประเทศทั่วโลก จะมาบอกว่า อิสลาม นั้นคือแขก  ไม่ใช่ คนไทย มันก็มากไป พี่น้อง อิสลามมีทั้งหัว เขียว หัวดำ หัวทอง หัวแดง หรือไม่มีสักเส้นบนหัว ก็เป็นได้ มาเข้าเรื่อง  อิญาบ  กันนะครับ อิญาบ  ก็เช่นกัน ไม่ใช่เครืองแต่งกายของอาหรับ  ต้องทำความเข้าใจใหม่ นะพี่น้อง อิญาบ คือ  ยูนิฟอร์ม ของมุสลิม ทั่วโลกเค้าใช้กัน ไม่ว่า ตาจะมีเหล่าเต้งหรือไม่ก็ตาม ต่อให้สตรีมุสลิม ไม่มีผมบนหัวสักเส้น ก้ต้องคลุมอิญาบ เข้าใจหรือยังละ   ถ้าพูดง่ายๆ คือมีบัตร พนักงานบนกบาลน้านแหละ  เวลาเข้าสังคมกันจะได้รู้  ไปร้านอาหาร จะได้ไม่สั่งหมู มากองบนโตะ  ให้เพื่อนกระเดือก ไม่ลง  ไม่สั่งเหล้ามาดื่ม ให้เพื่อน กระดกแก้วน้ำชา ผิดแก้ว กลายเป็น โซดาผสม จอห์นี่วอล์คเกอร์ บาป ตายเลย คนดื่มนะไม่บาปเพราะไม่รู้ ได้แต่เมา ออเยาะ หัวพับคาโตะ คนบาปนะเพื่อนๆ นะจาบอกให้ ครับ พี่น้อง ด้วยความเคารพ พี่จิม จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 10:59:09

ความคิดเห็นที่ 26 ประโยชน์เยอะนะ นอกจากอิญาบเป็นศาสนบัญญติแล้ว อิญาบ ยัง มีประโยชน์ในแง่ตัวของอิญาบเอง โดยสังเขป -ยูนิฟอร์ม -บังแดดได้ แดดสมัยนี้ ร้อนมักมาก ปัญหาจากภาวะเรือนกระจก -ไปถูกรถชนตายที่ไหน ไม่ส่งวัด  ส่งสุเหร่าทันที -ทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียน  เกิดการออกแบบอิญาบให้เข้ากับยุคสมัย  สร้างงานด้วย ไม่แน่นา ประเทศไทย อาจส่งนางแบบ ไปเดินบนแคทวอล์คที่ ปารีส ในชุดอิญาบก็เป้นได้ ประเทศไทยดังระเบิดเถิดเทิงเชว -ขึ้นรถทัวร์เดินทางไปไหนมาไหน  คลุม อิญาบแอร์ไม่รด กบาล เดวเป้นหวัด ถ้าใส่หมวก ขึ้นรถทัวร์ ตอนลางคืน คงบ่นกันว่า ประสาทมีไม่ครบมั้ง -ท่านเคยคิดรำคาญ  ผู้หญิงผมยาวขึ้นรถเมลย์ไหมละ ผมงี้ปลิวใส่หน้าคนข้างหลัง การคลุมอิญาบไม่ทำให้ผมปลิว ไปโดนหน้าคนข้างหลัง -ต่อจากข้อนั่งบนรถเมลย์ เพราะผมยาวนั้นแหละบ่อเกิดอาชญากรรมทางเพศ ผมมันยาวมาแตะหน้า หนุ่มข้างหลัง  อึ๋ย  เซกซี่ ละ อดใจไม่ไหว ปล้ำ สำเร็จความใคร่บนรถเมลย์ ดีไม่ดีลงรถเดินตาม ไปปล้ำต่อในซอย -ฯลฯ  มีข้อดีอื่นอีกมากมาย รอเพื่อนมาต่อ ด้วยความเคารพ พี่จิม จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 11:19:35

ความคิดเห็นที่ 27 มีประโยชนืก้ต้องมีข้อเสีย  อันนี้ทำมะดา - ข้อเสีย คือร้อน บนหัวลมไม่โกรก - ไปเหยียบตาปลา ต่อมอิจฉา ต่อมระแวง กลัวถูกกลืน - ไปเหยียบตาปลา กูหมั่นไส้อิสลามมานานแระ -ฯลฯ  ไม่มี เพราะถ้ามีก็นึกออก   แต่พวกกระรอกชอบบอกว่าผมมีอัตตา  ตอบว่าใช่ มีอัตตา มะมีอัตตา แล้วจะมานั่งเขียนงี้ได้ไง  ชิมิชิมิ ไม่เชียร์ศาสนาที่เรานับถือ จะให้ไปเชียร์ศาสนาใด ถามแปลกๆ วุ้ยส์ แต่ที่แน่ๆ  คนที่ตำหนิ ผมนะมีอัตตาหรือเปล่า  หรือจะเถียงว่าไม่มี ด้วยความเคารพ พี่จิม แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 55 11:24:46 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 11:24:20

ความคิดเห็นที่ 28 ได้ความรู้มากๆค่ะ คุณ จิม ทำไมต้องเรียก มุสลิมว่า "แขก" เพราะแท้จริงแล้ว มุสลิม คือผู้นับถือศาสนาอิสลาม  แค่อยากให้ท่านเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อมุสลิมบ้าง เพราะคิดว่าก็ยังมี มุสลิม บางคน ไม่ค่อยชอบเวลาที่มีใครมาเรียกเค้า ว่า แขก  แต่ด้วยสังคม กระมั้งคะ เลยต้องยอมรับและจำนนต่อมัน ก็คงคล้ายๆกับ เจ๊ก หรือเปล่า ที่เรียกคนจีนกันอ่ะค่ะ คงจะเป็น ศัพท์แสลง ประเภทหนึ่ง กระมัง จนตอนนี้คำว่า แขก ที่เรียก มุสลิมเรา ก็ยังไม่จางหาย ก็ยังเห็นเรียกกันอยู่ทั่วไป จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 13:21:07

ความคิดเห็นที่ 29 เห็นต่างครับ... จาก -ต่อจากข้อนั่งบนรถเมลย์ เพราะผมยาวนั้นแหละบ่อเกิดอาชญากรรมทางเพศ ผมมันยาวมาแตะหน้า หนุ่มข้างหลัง  อึ๋ย  เซกซี่ ละ อดใจไม่ไหว ปล้ำ สำเร็จความใคร่บนรถเมลย์ ดีไม่ดีลงรถเดินตาม ไปปล้ำต่อในซอย ผมว่ามันไม่เกี่ยวกันครับ... ผมสั้น ก็ ทำให้เกิดอารมณ์ได้เช่นกัน จากคุณ : Jedcon เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 14:02:48

ความคิดเห็นที่ 30 ผมว่ามันไม่เกี่ยวกันครับ... ผมสั้น ก็ ทำให้เกิดอารมณ์ได้เช่นกัน ---------------------------------------- ถูกต้องที่สุดเลยครับ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องคลุมผมครับ จากคุณ : Daffie เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 15:18:24

ความคิดเห็นที่ 31 เพราะฉะนั้นจะผมยาวหรือสั้น  ก็ต้องคลุมผม ครับ เพราะผมทำให้เกิดอารมย์ เดวจะบอกว่า อีโล้นซ่าส์ ก็เซกซี่ได้  ใช่ครับถูก  แต่ให้เลือกระหว่างโล้น กับไม่โล้น จะเลือกอย่างไหนละครับ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 17:55:50

ความคิดเห็นที่ 32 กรองคำ ไม่ได้คิดจะ กรองคำ กับ กท.ของ ท่านจิมมีดทื่อด้ามนี้ [ที่แอบอ้างว่าเอาชื่อหนังเคาบอยในตำนานของคนชั้นดีจากยุคบุกเบิกตะวันตกมาใช้เป็นlogin]-หรอกนะ ขอรับ แต่ว่ามันมีที่ สะดุดความรู้สึก จากการที่ อินตามลีลาดั้งเดิม จากที่อ่านบทความช่วงต้นๆ ที่ พี่ท่านจิม ด้นความถีง มุสลิมในประเทศจีน...นั้น <[น่าจะคลิกไปอ่านได้นิ] มันช่างลื่นไหลในแถวอักษรซะขนาดไหน-ซะนี่กระไร ก็ไม่เกินจะหยั่งรู้ในการ&กาล ที่ผ่านลีลาวางจริยธรรมในงานเขียนของ login Jimbovy มาพอประมาณ  แต่คราวนี้ ในช่วงบทความ มุสลิมใประเทศจีน นั้น มันออกจะเกินมาตรฐานที่เคยชิน ในบทความ หรือ วาทะ ใดๆ ที่ออกมาจากปลายนิ้วจิ้มแตะของ login Jimbovy [ที่แก๊ปปี้-แอบอ้างว่าเอาชื่อหนังเคาบอยชั้นดีที่ ๑ ในตำนานคนของยุคบุกเบิกโลกใหม่ในแดนตะวันตกของ ยู.เอส.เอ.มาใช้ตั้ง] จากที่ กรองคำ~ควายกองขยะ พอจะชิน-กับการผิดหกตกหล่นยกแคร่พิมพ์ข้อความ แบบเลอะๆเทอะๆ เฟอะฟะไปตามกลอน  [อย่างที่ ออกแขก มาในความหัวต้นกระทู้นั้นละ-นะ] ซึ่งเป็น อัตลักษณ์ของแท้~อันหาของเทียมที่ใดก็ไม่มี/ถึงว่ามีแต่ก็ต้องไม่เหมียล คือไม่เหมือน ลีลาวาทะ&อักขระตกล่นและแผลงๆของ login Jimbovy [ที่แอบอ้างว่าเอาชื่อหนังเคาบอยในตำนานคนชั้นดีของยุคบุกเบิกตะวันตกมาใช้เป็น login นี้-นั้น-นะ]        คือว่า...เมื่อเข้าทู้นี้มาตั้งต้นอ่าน-เริ่มแต่ อักษรตัวแรก คือจากคำว่า แขก จากต้นทางที่ช่วงส่วนหัวของกระทู้นี้-นั้น  มันก็ยังพอได้ในอารมณ์ว่าเข้าบ้านคนมุสลิมมาเยียมเยี่ยมกันตามประสาสมาชิกฯใหม่ที่บากหน้ากลับคืนสู่ บ้านเก่า แต่พอเข้าเขต Muslims in Chaina  ^?^  นัน-หนั่นเนื้อ-นั่น&นั้น...มันไม่ใช่ มันไม่ใช่เลย-นะขอรับ ท่านจิมฯ !!! เฉลย : ใคร-ท่านผู้ใด?ที่-เป็น/ใช้นามว่า อัล-ฮิลาล ท่านคน-เขาผู้นั้น ก็คงไม่อยากจะได้หรอก เกียรติ หรือ เครดิต อะไรนั้นน่ะ แต่ตามหลักสากลที่คนโดยทั่วไปในจักรวาลโลกแบนๆแผ่นนี้ ต้องประพฤติกัน  และกับ คนที่เคยอ้างเอ่ยเรียกให้คนอื่นมาให้เกียรติตนเองอยู่เสมอๆ อย่าง login Jimbovy  ก็น่าที่จะรู้จัก หน้าที่อันเป็นที่ควรเช่นนี้  คือการให้เกียรติเจ้าของบทความนั้นไว้ด้วย  เพราะเป็น ตัวlogin Jimbovy เอง ที่ไปยกของเขามาเองกับมือ แบบว่า ไปยกเอามาทั้งแผง !!!        หรือว่า-รึว่าจะเป็นเพราะว่า อ่านชื่อ อัล-ฮิลาล แล้ว login Jimbovy  ก็รู้สึกถึง ความเป็นพี่น้องกัน ที่มันพุ่งโพลงเดือดพุ่งพล่านขึ้นมาอย่างดีใจ เลยกลายเป็นเรื่องง่าย  หยวนๆน่อ  แบ่งกันมา&แย่งกันไป ตามประสามุสลิมสมัยใหม่ ไม่ต้องให้เกียรติ มีเกือก หรือ ใช้ เกียตริ อะไรกันก็ได้-ไปซะงั้นเชียวนิ ???         ที่ กรองคำ คิด-จากที่เห็น จะจะ-กะตา จึง ชี้ ขึ้นมาให้เจ้าของกระทู้ รู้ตัว เอาไว้กับตรงนี้ซะ ณ ที่นี้[ถ้าเอ่ยในที่อื่น ก็จะคิดว่าเป็นการไม่ไว้ เกียตริ กันไปอีกนิ] ก็เพราะบทความอื่นๆที่ตามหลังมานั้น พี่ท่านจิม มันก็ยังไม่ลืมใส่ link ที่มา: คือต้นทางที่ตัวเองไป ยกแผง เอาของเขามา-หมดเลยเกลี้ยงทั้ง ๒ แผงเลย-เช่นกัน !!! ถ้า กรองคำ เป็น อัล-ฮิลาล ที่ อาจจะ บังเอิญผ่านมายืนตรงหน้ากระทู้นี้  ...เขาก็คงจะไม่น้อยใจกับ เกียรติ เกือก หรือ เกียตริ ที่น่าจะได้&น่าจะมีให้เห็นคำว่า อัล-ฮิลาล แปะแทรกอยู่ที่ไหนสักแปะ ๑  จาก การถือปฏิบัติตามมรรยาทสากล ของคนที่ทำการ เอาของเขามา เสริมแต่งเติม-เพิ่มให้หน้าตัวเอง ดูดี กว่าที่มีที่เป็นอยู่... [-ถ้าไม่รู้ว่าหน้าเดิมๆของมันพอดูได้-หรือดูไม่ได้ แค่ไหน ก็พิเคราะห์เอาจากการใช้ อักษรภาษา ที่พิมพ์ระเกะระกะ ดาดาด สาดเสียเทเสียหกรดหน้าตัวเอง ลงมาเป็นทางหกตกเรื่ย เลอะๆเทอะๆ อย่างช่วง ออกแขก บนนั้น-นั้นๆ เอา-ก็แล้วกันนะ-พี่น้อง] ดังนั้น สมมติว่าถ้า กรองคำ เป็น อัล-ฮิลาล ผ่านมากระทู้นี้ ...ก็ไม่น้อยใจให้ใครเหลิงหรอก ที่มันไม่มีคำว่า อัล-ฮิลาล อยู่ที่ตรงไหน-คือมีแต่บทความที่ ยกแผงเขามา  แต่ว่า อัล-ฮิลาล คงจะนึก สมเพช&สังเวชใจ ไปกับ อจริยธรรม ของไอ้คนที่มันไร้มรรยาท แม้กับมุสลิมพวกเดียวกัน  คือ login จิมโบวี่_คนนี้ เท่านั้นเองละมั๊ง-นะ ขอรับ และนี่อีก ๑ ซึ่ง ถูกยกมา ก็น่าจะเป็นการ ไม่ได้จงใจ ลืม หรอกนะ ขอรับ login จิมโบวี่_คนนี้ ผมมีเกร็ดเกี่ยวกับมุสลิม ใน ซีอาน มาเล่าสู่กันฟัง  แต่มันไม่ใช่ เกร็ดจากประสบการณ์ตรงของผม ดังนี้ครับ < ถ้าจะเพิ่มเติมอีกสักแค่นี้ มันจะเป็นการ ลดจริยธรรมในงานเขียน ชิ้นเลอค่าของ login จิมโบวี่_คนนี้  [ใช่ขอรับ -คนนี้แหละ] ลงไปอีกสักกี่สลึงน๊ะ ??? เยี่ยมชาวหุย...ลุยซีอาน Hui at Xian Muslim Quarter นิตยสาร "หญิงไทย" สารคดี "ชีวิตต่างแดน" ฉบับที่ 734 ปีที่ 31 ปักษ์แรก เดือนเมษายน พ.ศ. 2549  ถนนชีวิตชาวหุย (Muslim Square Xian จัตุรัสมุสลิมซีอาน)   เอ้า- จัดให้ แบบคนกันเอง ไม่ต้องขอ-ก็มีให้ และไม่ต้องคิดจะก้มคุกก้มคลานไปทำไรที่ไหน... ประการ ๑ สมาชิกฯผ่านมาอ่าน อยากรู้เรื่องราวต่อ จะได้ไม่ต้องมารอ ง้อ ใครที่มันไป ยกแผง เอาของเขามาใช้แต่งหน้าตัวเอง แล้วยังมีหน้ามาบอกว่า กั๊กไว้ก่อน อีกนั่นน่ะ-นะ ๑. ในเมื่อ พี่ท่านจิมมืดทื่อด้ามนี้  อ้างเอ่ยว่า เคย ไปบ่อยอะไรที่ไหน โน่น-โน้น&นั่น-นั้น อนู่บ่อยๆ ก็อย่าปล่อยไก่  เช่น > นี่ก็ร้านอาหารอิสลาม  ในเซี่ยงไฮ้  ร้านนี้อยู่ในตลาด Walking street หลังสะพาน หนานปู ร้านนี้ถูกมาก  ก๋วยเต๋ยวชาม เบ้อเหิ่ม 10 หยวน  (คคห.ที่ ๒๓ กท.นี้-นี่เอง) ก๋วยเต๋ยวชาม เบ้อเหิ่ม  ปัจจุบันนี้ สำหรับบน จีนแผ่นดินใหญ่&เขตพิเศษอีก ๒ แห่ง คือขนาดภาชนะใส่ของกิน ในเชิงมาตรฐาน ตามธรรมเนียม บน ระบบการค้าของคนจีนยุคปัจจุบันสมัย ที่บ้านเมืองเขาได้ เปิดประเทศ รับนานาอารยธรรมสากลของโลก  ที่บนเกาะฮ่องกง ชามก๋วยเตี๋ยว&บะหมี่ และ ฯลฯ ที่เป็นประเภทน้ำๆ มันก็ใหญ่พอกันเท่าเทียมกันใน มาตรฐานนั้นๆ ไม่ว่าอาหารอะไรที่มี น้ำซุปต้องบรรจุลงภาชนะรูปแบบ ชาม-ใส่ชาม มันก็ล้วนเป็นชามขนาด เบ้อเหิ่ม ตามบัญญัติศัพท์แปร่งวรรณยุกต์แนว login Jimbovy  ของแท้-น่ะนะ  และมันก็ จุได้ปริมาณที่ พออิ่ม สำหรับคนผู้เดินทาง&ท่องเที่ยวแล้วหิวเมื่อถึงมื้อ        และ/ซึ่ง ราคา ๑๐ หยวน สำหรับ เกี๊ยว หรือ ก๋วยเตี๋ยวชาม ๑ หรือ ๑๙~๒๒ เหรียญ สำหรับ ๒ in ๑ คือรวมทั้งสองในชามเดียวกัน นั้นมัน_ทั้งเซี่ยงไฮ้ กับบนเกาะพิเศษฮ่องกงนั้น-นั่น  มันก็เป็นราคาที่ทำให้เกิดการ อยู่ได้ ในระบบการค้าที่พวกเขา เปิดใจ สู่การเข้ามาของ นานาอารยชนบนโลกกลมๆใบนี้ เท่านั้นเอง-นะ หากคนที่บอกว่าสายเลือดแห่ง อโยธยานิส ยังมีตกค้างในตัวเองมากหยดอยู่นี้  ย้ำคิดแบบร่มโดดมันเรี่ยใกล้ตกถึงพื้น คือลูกคิดไม่ดก แต่ตกตื้น ย้อนกลับไปเทียบกับเตี๋ยวเรือพายในคลองรอบเกาะเมือง ๑ชาม ๓ สตางค์ กาแฟดำกระป๋อง ๒ สตางค์ นั้นอยู่ละก็ มันย่อมจะเป็น มุมมอง ของความ ถูก-แพง ที่ ต่างกันอย่างโคตรๆ ไปเลยทีเดียวเชียว-นะ ว่ามั๊ย พี่ท่านจิมมืดทื่อด้ามนี้ ??? ๒. พี่ท่านจิมมีดทื่อด้ามนี้ อย่าได้ริอ่านใช้ สันดาน ทอดแหในสระปลาชาวบ้าน มาเหมา ตู่ ย้ำซ้ำ-ซ้ำย้ำ ยกคำสร้างความแค่ที่ว่า คนไทยเหมาเรียก คนมุสลิมถืออิสลามในไทยว่า แขก ไปทั้งหมด-นะ ตำนานคำว่า แขก ในประเทศสยาม > แขก & แขกเจ้าเซน  พี่ท่านจิมมืดทื่อด้ามนี้ จขกท.นี้ เคยอ่าน-กลับไปอ่านทบทวนบ้างรึเปล่า   แก่เฒ่าเฉาก๊วยเหี่ยวฝ่อเพราะแบ๊ตฯมันอ่อนลง ก็คงจะเลือนได้ง่าย- จะพลัดตกจากหลัง-หนอกอูฐ แขนเป็นกิริยา คอก ไปได้ง่ายๆฉะนี้เช่นกัน-นะ      อืมมม์...คคห.นี้ ชักจะยาวแล้วนินี่-นะ  เย็นย่ำค่ำลงมา เอ่อเอ้ย-พระสุริยน เอ้ย จรลงสู่สนธยา เหล่าสกุนาก็จะได้เวลาร่อนกลับคืนกระทู้ -เอ๊ย คืนรัง เอ๊ย-ช้า-ชา ฉ่า-ชา น่อย :-)-เอย ฯ      ...กรองคำ ควายกองขยะ ก็จึงมีอาการหิว คิดถึง ข้าวราดแกงแขก+ไข่เป็ดพะโล้&คากิ  <มีมั๊ยที่ ฮาราล ??? จะถามกับใครสักคนก็เกรงใจ เดี๋ยวเจ้าจะเฉไฉตีความว่าหาเรื่อง เหยียดหมิ่น-ไม่มีเกียตริ ให้แก่กันและกันไปซะอีกกระทู้ ๑ - นะ พี่ท่านจิมโบวี่มีดทื่อด้ามนี้ กรณี เชี่ยวเชิงรู้มาเยอะเรื่องตำราอาหาร นี้ จะว่าจั๋งไดหนอ ???   หรือว่า login Jimbovy ถนัดแค่ แขกด๋อ ต่อจาน&อาสาเก็บถ้วยล้างชามให้เพื่อน-คนข้างๆบ้านไปมื้อนึง ๆ เท่ิานั้นเอง ขอรับ ??? ๓.  login Jimbovy อย่าได้เผลอ เปิดตัว ว่าไปอบรมวิธี วิวรณ์ธรรมปฏิพากย์ มาเหมือนๆกับมุสลิมรุ่นลูกรุ่นหลานอะไรนั้นเลย-นะ      ตัวอัตตา ที่ login Jimbovy  ย้ำว่ามา คคห.เดียว ๔ คำรวด นั้น-นี้ มันเป็นที่ กรองคำ ควายกองขยะ ตัวนี้นี่เองแหละ ที่ ชี้หน้าว่า login Jimbovy ไว้ใน กระทู้ login female muslim ๑ เดียวนั้น <จะClickไปยืนยันตนเองก็ได้-นะ] นั่นเอง แล้วก็เป็น กรองคำ ควายกองขยะ นี้เอง-อีกเช่นกัน ที่ยังต่อท้ายไว้ด้วยคำว่า " ไอ้นี่มันขี้ยกก้น[_นี่หว่า] "<นี้ อีกด้วย-ชิมิ พี่ท่านจิมโบวี่ที่พกแค่มีดทื่อด้ามนี้ ??? แล้ว_ก็เป็น พี่ท่านจิมมีดทื่อด้ามนี้ คือ login Jimbovy  นี้เสียเอง-อีกแล้ว ที่แปลงตัวเป็น แมงกระรอก คาบคำว่า อัตตา เข้ามาถามแบบย้อนความหน้าเอียง-เอียงหน้า/แบบไม่กล้าถ่ายรูปหน้าตรง-ว่างั้น         ทำหยั่งงี้-พรั่นนีย๊ะ  ให้มันเป็น การคายกาก ให้ กาก มันตกรกบน กระทู้มรดกสายมุสลิม ของตัวเอง กองที่ ๒/๒๕๕๕ ณ ห้องศาสนา ไป ทำ_xxxของมันทำไม-นะเออ  ไม่ งงขดไส้ตัวเองมั่งเหรอ พี่ท่านจิมมีดทื่อด้ามนี้  ฮึ๊ยส์ ??? ปล. อย่าลืมว่าเป็นตัวพี่ท่านจิมมีดทื่อด้ามนี้ เองหรอกนะที่เอ่ยคำว่า แขก&หมูต้มเค็ม ในทู้ต้นทางโน้น แล้วยังงี้_มิน่าล่ะ โยนกลองใส่ปากตัวเองซะเอง-นี่เองถึงออกแขกได้ ไม่ถนัดปาก ฉะนี้ ก็ดู แล้วจำท่าออกแขกที่ ควายกองขยะ บอกไว้ข้างบนนั้น เม็มใส่กล่องโหลกไว้ซะ-นะ login Jimbovy  Uploaded by Porntape1 on 25 Mar 2011  จากคุณ : จานฝรั่งชามแขกช้อนจีนส้อมไทยนิ (กรองคำ) เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 18:28:38

ความคิดเห็นที่ 33 แล้ว_ก็เป็น พี่ท่านจิมมีดทื่อด้ามนี้ คือ login Jimbovy  นี้เสียเอง-อีกแล้ว ที่แปลงตัวเป็น แมงกระรอก คาบคำว่า อัตตา เข้ามาถามแบบย้อนความหน้าเอียง-เอียงหน้า/แบบไม่กล้าถ่ายรูปหน้าตรง-ว่างั้น         ทำหยั่งงี้-พรั่นนีย๊ะ  ให้มันเป็น การคายกาก ให้ กาก มันตกรกบน กระทู้มรดกสายมุสลิม ของตัวเอง กองที่ ๒/๒๕๕๕ ณ ห้องศาสนา ไป ทำ_xxxของมันทำไม-นะเออ  ไม่ งง ไส้ตัวเองมั่งเหรอ พี่ท่านจิมมีดทื่อด้ามนี้  ฮึ๊ยส์ ??? คนอื่นใดใครเขาที่มีศาสนา และได้รับการสั่งสอน เรียนรู้ศึกษา และฝึกฝนตนเองมา เราเขาท่านเธอเหล่าสัตว์โลกผู้ผุดเกิดขึ้นตามวัฏฏสงสารนั้น ต่างก็มี คือมีสำนึกถ้วนถี่ดีอยู่ว่ามี อัตตา ติดตัวมาด้วยทั้งสิ้น-ทั้งนั้น   และพวกเธอเขาเราท่านเหล่านี้-เหล่านั้น หรือเหล่าเผ่าพันธวงศาใดๆนั้นๆ ต่างก็เร่งกระทำความเพียรศึกษาหาความรู้แท้ เพื่อเป็นเส้นทางสู่ความสงบว่าง อย่าง ไม่ติด ในตัวตนบุคคลเราเขา...        ...ด้วยข้อธรรม ที่ล้วนแล้วแต่เป็น  ธรรมตามจริง  แห่งองค์พระบรมศาสดา พระสัมมาสัมพุทธพุทธเจ้า พระองค์นั้น ทรงวางไว้ให้ด้วยหลักแห่ง มรรค ๘ คือ วิถีอันชอบ อันเป็นหนทางแห่งการ ลดอัตตา กัน ทั้งสิ้น-ทั้งนั้น       แต่การเอ่ยถึง อัตตาตัวนั้น  ขึ้นไว้ในกระทู้ ฮิญาบ ของ login female muslim ๑ เดียว นั้น  เหตุเพราะว่า พฤติกรรมคนมุสลิมที่ ชื่นชอบกับการโดดเกาะขอบชายพก บูรากาอฺฮ์ นั้น มันเป็นการส่อ ตัวอัตตา~อัตตาตัว ขึ้นมาอย่างเห็นๆ  และเป็นการอวดอัตตาตนเอง ที่ไม่ต่างจาก อึ่งอ่าง กำลังพองตัวให้คับกะลาที่ครอบตัวมันอยู่-ฉะนั้น !!!       อัตตา ที่ กรองคำเอ่ยขึ้นมานั้น ก็จึงเป็นเพียงแต่-แค่เตือนว่า อึ่งเอ๋ย เดี๋ยวเจ้าก็อยู่ได้โดยยากในกะลาใบน้อยนั้นเพราะตัวเจ้าเองหรอก-ก็เท่านั้นเอง-นะ       เก่งศีลเก่งธรรม , นอนทำวัตรแบบมุสลิมบนกุฏิพระไทย       ได้นั่งจิบชาชั้นดีราคาแพงในถ้วยชาสะอาด พ้นจากรอยตีนและกลิ่นขี้แมลงสาบที่คุ้นชิน กับบารมีพระสงฆ์องค์เจ้าระดับ ท่านเจ้าคุณฯ         นี้-นั้น-นั่น-นั้น และ โน้น-โพ้น ประดามี พี่ท่านจิมมีดทื่อด้ามนี้ หรือ login Jimbovy ก็ได้เอ่ยอิง เป็นสมอ้าง ว่าได้กระทำผ่านมาทั่วถ้วนแล้ว               รอบคอบในยุทธจักรแห่งศาสนา และปรุโปร่งโล่งทางแห่งสากลธรรมมามากเกินตัวแล้ว...        จนกระทั่งบอกว่า ลาอิลลา คือ อนัตตา เป็นอย่างเดียวกัน เพราะศึกษามาแล้ว-นั้นเลยทีเดียวเชียว !!! [คคห.๓๘๗ กระทู้เดียวกัน คลิกไปได้อยู่นิ] แล้วทำไม  กับ อัตตา ที่มีอยู่มหาศาลบานเต็มสมองบวมๆก้อนเล็กๆแค่นี้ พี่ท่านจิมมีดทื่อด้ามนี้ หรือ login Jimbovy จึงไม่มีภูมิปัญญา ใช้ภูมิปัญญา จากสมองส่วนดีที่พอมีเหลือ สั่งการให้เกิดมีภาวะเรียนรู้การ ลด-ละ-เลิก อัตตา         เหมือนอย่างที่มีใครคน ๑ เลิกดื่มได้สนิทดีแล้ว นั้นบ้างเล่า-หือมมม์        ตอบว่าเช่นไรนะ ขอรับ พี่ท่านจิมมีดทื่อด้ามนี้ หรือ login Jimbovy ที่มีดมันทื่อกว่ามีดเสี้ยมปลายดินสอให้เด็กอนุบาล  สมาชิกฯทั้งหลายในห้องศาสนานี้ ไม่ได้ยินเลย ???        เอ้า  ก็ได้...ยังไม่ตอบ-ไม่เป็นไร  ควายกองขยะ ก็จะ_ ก็ขอพักยกเอาไว้เท่านี้ก่อน จะออกไปหาข้าวราดไข่เป็ดพะโล้&คากิ เจ้าอร่อยที่เขาแยกสาขามาจากเมืองเบตง-ที่ในเมืองนี้ก่อน-นะ        เป็ด~ไก่~แพะพะโล้&คากิ ของเจ้านี้ ถ้าเกิน ๑ ทุ่มครึ่งวันธรรมดา หรือ ๒ ทุ่มครึ่งวันหยุดพิเศษไปแล้ว ก็ไม่ต้องสตาร์ทเครื่องยนต์หมุนล้อบ่ายหน้าออกหาพระแสงช้อนส้อมจานชาม อะไรเลย-นะ       ก็คือ ของอร่อยเขามัน หมด อด-แดก เท่านั้นนะ ขอรับ พี่ท่านจิมมีดทื่อ คนที่ แอบอ้าง ว่ายืมชื่อหนังเคาบอยเทิดวีรกรรมผู้คนชั้นหัวดีในตำนานยุคบุกเบิก หาที่ทำกินบนแผ่นดินโลกใหม่ในสมัย OLDWEST-มาตั้งเป็น login อันแสนจะโก้หร่านว่า  Jimbovy        ที่-ทั้งๆที่ตัวตนที่แท้จริง มันคือไอ้ด้ามฝ่อ & ใบมีดแสนทื่อยิ่งกว่ามีดเสี้ยมปลายไส้ดินสอให้เด็ก อนุบาล-จริงๆนะ       ซึ่ง...ถึง-ถ้าคิดอย่างยัง วางเกียรติ ไว้ให้กันอยู่ ก็ต้องบอกว่าก่อนๆนี้ login JIMBO/JIMBOVY อาจจะพอมี คม อยู่บ้าง แต่กาลผ่านมาถึง ณ จุด-จุดนี้ login JIMBOVY ที่เปลี่ยนวิถีตามกิเลสกาม ตามอัตตาตนจนเป็นคนมักชอบทาง สุร่ยสุร่าย ด้วยความที่เป็นคนขี้ยกก้นให้คนเห็น        อีกทั้งยังเป็นคนโอ่ โอ้อวดในฐานะ ด้วยอัตตาในตนมันมีสูง         ก็จึงถึงแก่ กาล กล กาม กิน และ เกียตริ ที่ลากยาวมาตลอดนั้น จำต้อง ปิดเกม ไปตาม ธรรมตามจริง        นั่นคือ ความบ่อมิไก๊&ความไม่เหลือคม คือไม่มีความใกล้เคียงที่จะเทียบเปรียบไปถึงความคมใดๆ ไม่ว่าจะเป็น ความคม ในองค์ภูมิความรู้&ภูมิปัญญา ตามแบบอย่างไทยๆ        หรือว่า ความคม เท่าเพียงแค่มีดเสี้ยมปลายไส้ดินสอให้เด็กอนุบาลนั้นก็ตามที  ไม่มีเท่าได้เลย-นะ นะ-ขอรับ         ถ้าหากว่า ไม่ใช่  คือคม นั้นยังมีนอนฝักอยู่ ก็ขอหลักฐานจาก พี่ท่านจิมโบวี่  คนมุสลิมที่ ควายกองขยะตัวนี้ ยังมีความนับถือไว้ให้อยู่มากพอประมาณ ๑-ด้วยนะ ขอรับ          เพราะหลักฐานที่ท่านฯ ขี้ยกก้น มา ๒~๓ กระทู้ มากมายหลาย คคห. นั้น มันชัดเจน คือ มีอยู่แล้ว-นะ @ ถ้าหากว่า ไม่ใช่  ก็เชิญส่งหลักฐานได้ที่ กระทู้ ๒๕๕๕ นี้  <คลิกได้เลย-เช่นกัน นะ ท่านฯ @ "-ไม่ได้โม้-"         จิมของผมคือ JIMBOVY หนังคาวบอยดังมากในอเมริกา ช่วงปี 1964 [ความคิดเห็นที่ 398 กระทู้เดียวกันนะ] ...  แต่ว่า-ขอโทษอีกซักทีเถอะ-นะขอรับ พี่ท่านจิมมีดทื่อฯ หนังเรื่องที่ท่านฯว่าไว้นี้-นั้น-โน้นน่ะ ไม่มีชื่อ-แม้แต่บันทึกในสมุดของ อากู๋ เลยอ่ะจ๊า ??? "อ่ะ-กูบอกว่า กูไม่ได้โม้-ก็ ไม่ได้โม้สิว๊ะ_เอิ๊กเอิ๊ก-อั่กอั่ก-บัก-ห่าควายกองขยะ เอ๊ย !!!" JIMBOVY[western film] 1964 <Clickme] คนเราน่ะนะ ถ้าจะเอ่ยถึง เวสเทอร์นเคาบอย โดยที่ก้นตัวเองมันยังไม่เคยแตะอาน หรือแม้แต่กลิ่นขี้ม้าเยี่ยวม้าก็แยกไม่ออก-บอกไม่ถูก-แยกไม่เป็น คือบอกเพศตัวเจ้าของขี้เจ้าของเยี่ยวกองนั้นๆด้วยสายตาแฉลบแลไม่ถูก-คือว่าดูไม่เป็น          ท่านฯคนเก่งก็จำต้องหาเวลา&ใฝ่ใจศึกษา แสวงหาสาระน่ารู้เกี่ยวกับคาวบอย <แบบค่อยๆคลิกไป เก็บหาเป็นความรู้สะสมใส่กะลาน้อยไป          ไม่ใช่เอะอะ - อะไรโฉบเฉียดผ่านหลังมาหน่อยก็ เสียวเว๊ย!!เฮือกสะดุ้ง อัตตาพุ่ง หยิบคว้าคิดอ่านเรื่องห่าเหวอะไรไม่รู้ขึ้นมาได้ ก็เอามาโม้-นะ พี่ท่านจิมโบวี่ที่ทำตนเป็นดั่งมีดทื่อด้ามนี้-ซะจริงจริง-นะ        ก็-เอาไว้เท่านี้ก่อนละกัน ออกไปหาข้าวราดไข่เป็ดพะโล้&คากิ เจ้าอร่อยที่เขาแยกสาขามาจากเมืองเบตง-ที่ในเมืองนี้ก่อน-นะ          ไปจริงละเที่ยวนี้ น้องเขาหันหัวรถรอแล้วนั่น        คือว่า...เป็ด~ไก่~แพะพะโล้&คากิ ของเจ้านี้ ถ้าเกิน ๑ ทุ่มครึ่งวันธรรมดา หรือ ๒ ทุ่มครึ่งวันหยุดพิเศษไปแล้ว ก็ไม่ต้องสตาร์ทเครื่องยนต์หมุนล้อบ่ายหน้าขึ้นหาพระแสงช้อนส้อม&ตะเกียบอะไรที่นั่นเลย         ถ้าหากไม่รู้ ไม่รับรู้ไม่ดูกาลเวลา ด้น-ด้าน อัตตาอยากมันพล่านจะไป จะไป จะไป ... ไปถึง ของอร่อยก็ หมด  ท่านฯก็จะ อด-แดก นะขอรับ พี่ท่านจิมมีดทื่อ คนที่ แอบอ้าง ว่ายืมชื่อ หนังเคาบอย สร้างเทิดวีรกรรมผู้คนชั้นหัวดีในตำนานยุคบุกเบิก เขาจรออกหาที่ทำกินบนแผ่นดินโลกใหม่ ในสมัย OLDWEST- มาตั้งเป็น login เหอ-เหอ-ขออนุญาตท่านสมาชิกฯ ขอขำเป็น วันเดือนปี พ.ศ.ใหม่นี้ หน่อย-นะ         ๐๓-๐๑/๒ ๕-๕-๕ ปล ๑. กำขี้ดีกว่ากำตด และ อย่าชี้โพรงให้กระรอก คือพังเพยไทยแท้แต่โบราณนี้ จะหน้าไหน ผุดเกิดมาจากหน้าแผ่นดินถิ่นใด ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร-ก็อย่าได้ริอ่านดูถูก-นะ ปล ๒. ทีหน้าทีหลัง ถ้าจะตั้งกระทู้อวยกันเอง เช่นเรื่อง แขก แย่งกันแจก ผ้าคลุมหัว เรื่องนี้-ทู้นี้ ก็ ออกแขก ให้มันเนียนกว่านี้อีกซักกะนิดนึง-นะ ท่านจิม login ด้ามมีดฝ่อไม่สนิทดีคนนี้ หรือ Jimbovy  ก็อาจจะได้รับบทเป็น คนมีภูมิรู้จริงอย่างถ่องแท้-ซักครั้ง ๑ นะ  login JIMBOVY <clickดูซิ แล้วเก็บใส่โหลกไว้ซะด้วย เอาไว้ใช้ อวย ญ. ครั้งต่อไปน่ะ-นะ !!! Credit : Uploaded by Porntape1 on 25 Mar 2011 ปล ๓. แขกเจ้าเซน กับ ซาราเซน สองชื่อนี้เป็นอะไรของใคร หรือ เป็นอะไรของกัน&กัน-เทือกใดแน่กันหนอ??? <ก็-คลิกไปดูเองสิ-นะ ??? แต่ว่า เครดิต link นี้ต้องยกให้แก่ บินมูซา มุสลิมที่ดีอีกคนหนึ่ง ที่ ควายกองขยะ ได้คบหาเป็น เพื่อนเลิฟตัวจริง แก่กันและกันตั้งแต่นุ่งสั้นเรียน ร.ร.คริสตังมาด้วยกัน ซึ่ง ถ้าจะว่าไป บินมูซากะควายกองขยะ ก็คือ จิม โบวี่ กะเพื่อนซี้เขา เดวี่ ครอกเกต ใน ประวัติศาสตร์ศึกใหญ่ ALAMO สมัยเก่าก่อนบนแผ่นดิน.ยู.เอส.เอ. โน้น-นั้น  นั่นเชียวแหละ-นะ ตำนาน จิม โบวี่ & เดวี่ ครอกเกต posted on 05 Jun 2008 03:23 by life-at-usa ดังนั้น...ไอ้-ใครที่หน้าไม่อาย ชอบยกอัตตาตนอย่าง มักได้ แบบ ตึตู่~คู่เกย์king ก็อย่ามา พล่อยปาก-อยากเลิฟ กะ ควายกองขยะ นะ...  ไอ้จระเข้จิม...!!! รู้จักสะเอียนไส้ตัวเองมั่งสิโว๊ย-เฮ๊ย กูไม่ใช่ เกย์ควีนตอลิบาน เพื่อนเล่น กรุอาน ของเอ็ง-นะ ไอ้_นี่... เดี๊ยะ !!!   A Fistful of Dollars <@ นี่~นี้ละที่จะแปลได้ว่า กำขี้ ดีกว่า กำตด    ตามพังเพยน่ะ-นะ login JIMBOVY  ไป click ดูเสริมสมองซะสิ !!! Credit : top-best-movies.com/movie-trailer/1964/a-fistful-of-dollars.html จากคุณ : กรองคำ เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 19:57:39

ความคิดเห็นที่ 34 เอ่อ คุณจิม คะ อยู่ๆไปก็จะชินเองอ่ะค่ะ เค้าชอบ จับผิด และ จิกกัด  มุสลิมในนี้ แบบนี้ อยู่บ่อยๆ   ชอบทำตัวเป็น ขยะ หลากสีสัน ไว้ใน กระทู้ อิสลาม เกือบจะทุกกระทู้ อาจจะเป็นการระบายอารมณ์เก็บกด อย่างหนึ่ง ของเค้า ถ้าไม่คิดมาก ก็ถือซะว่า เป็นความเห็นอันเป็นแค่ ขยะ เน่าๆ กองหนึ่ง เท่านั้นเองค่ะ มุสลิมใน ห้อง ศาสนา ก็โดน แบบนี้มาตลอดแหล่ะค่ะ เลยเห็นเป็นเรื่อง น่าตลกขบขัน และ สมเพช ในการกระทำ ของเค้า มากกว่า ปล. จะทำขยะอะไรใส่ดิฉันต่อก็ตามสบายนะ   จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 20:24:09

ความคิดเห็นที่ 35 เพื่อนๆ&น้องๆ เขาบอกกว่า น้ำป่าหลากที่บ้านเราเพิ่งจะมี-เพิ่งจะมา แต่น้ำทาง กทม.มันลดแล้ว และคงจะลดสนิทดีทุกทีไปแล้วตอนนี้วันนี้ยามนี้ เพราะสังเกตดูที่ คคห.ที่ ๓๔ นี้-นั้นนั่นดีดีสิครับ หน....มันก็เลยมี กาก&ซากขยะในแบบเมืองใหญ่ เมืองหลวง นิยมมีถังขยะใบเล็ก  ที่มักจะนิยมจะมีขยะส่วนตัว แบบพลาสติกบางๆยาวๆ ... แบบถุงก็อบแก๊บตามตลาดสด ตอนน้ำท่วม น้ำพามันออกมาัพันตอ   เกาะติดเต็มตอ !!!   แล้ว-แบบว่าตอนนี้ พอน้ำลดดีแล้ว ตอมันก็เลย แหล กากขยะอย่างยาวบางอย่าง extra long มันก็ผุดพร่างพราวไปทุกกระทู้ที่มี แขกตั้งกะบะแจกผ้าคลุมหัว...นั่นละ-นะ              เหอ-เหอ-เหอ...ควายกองขยะก็เลยเห็นภาพ...ขออนุญาตท่านสมาชิกฯที่ผ่านมาชมดูลีลา น้ำลด ตอติดขยะพลาสติกก็ แหล โผล่ขึ้นมาในทู้นี้~ทู้นั้น และทู้โน้น ที่มี แขกแบกถาดกะบะรอ แจกผ้าคลุมหัว          ขออนุญาต หัวเราะ ขำ แบบ วันเดือนปีพ.ศ.ใหม่นี้ อีกที-นะ ท่านฯ เหอ-เหอ-ขออนุญาตท่านจิมมีดด้ามทื่อ ขอขำเป็น วันเดือนปี พ.ศ.ใหม่นี้ หน่อย-นะ         ๐๓-๐๑/๒ ๕-๕-๕ ปล.  คนเรานะ ถ้ารู้ตัวรู้ตน ไม่กินอัตตามากเกิน ไม่แส่ หรือ หยุด เสี้ยม & เสืoก อะไรๆได้สักเรื่องละก็ พรปีใหม่ที่มีใครเจียดแบ่งให้ มันก็คงเป็นจริงได้สักข้อ ๑ ละ -นะ อย่าคิดมากน่า ท่านจิมโบ๊วว์ ควายกองขยะก็แค่ลองหา กรุอาน ที่ท่านฯว่ามีหลาย version   ในห้องสมุดนี้เท่านั้น_คืออยากจะย่อยพะโล้แพะให้มีที่ใส่ คากิตุ๋นเห็ดหอม เท่านั้นเอง-น่ะ จากคุณ : เขียนบน iphone @โต๊ะมีพะโล้แพะ (กรองคำ) เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 20:55:21

ความคิดเห็นที่ 36 กลับมาเติม link หา กรุอาน หลายๆเล่มณ ห้องสมุด-ก็เท่านั้นเอง-นะ กรุอาน  อ่านว่า กะ - รุ - อาน  ย่อมไม่ใช่ อัล-กุรอาน ที่อ่านว่า กุ - ระ - อาน ท่านจิมมีดทื่อด้ามนี้ หรือ login Jimbovy ที่มีดมันทื่อกว่ามีดเสี้ยมปลายดินสอให้เด็กอนุบาล บอกว่า กรุอาน นี้ มีหลายเล่ม มีหลายเล่ม หลายเล่ม ๆ ๆ ๆ..... หลายก็หลาย  หาดูในห้องสมุดนี้กันนะ-นะ กรุอาน...คือ คัมภีร์ทางนำของ จิมโบวี่ที่ด้ามมีดฝ่อ  ก็น่าจะมีสักครึ่งเล่มมั๊ง- นะ คลิกที่นี่ ห า ก รุ อ า น ทำไม iphone ขอไฟล์จาก U~tube ไม่ได้นะ ??? จากคุณ : เขียนบน iphone @โต๊ะมีพะโล้ไก่ (กรองคำ) เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 21:10:24

ความคิดเห็นที่ 37 คุณกรองคำที่เคารพ ผมให้เกียตริสนทนากับท่านให้โอกาสท่าน ทั้งๆทีี่ทราบดี ท่านคือแกงค์ป่วน ศาสนาอิสลาม  และเป้นคนที่ไร้มารยาทในการเสนอข้อคิดเห็นในที่สาธารณะ การเที่ยวด่าคนนู้นคนนี้นะ เวลาคนเค้าอ่าน  เค้าจะบอกว่า พ่อแม่ไม่สั่งสอน วันๆที่เที่ยวแส่เรื่องชาวบ้าน ถามหาตัวตน  ว่าท่านเป็นใคร  นับถือศาสนาอะไรก็ไม่บอก  อ๋อ...ที่ไม่บอกเพราะเป็นพวกเปรตหาส่วนบุญ ผมไปทำอะไรให้หนักกบาลท่านหรือไงครับ เพื่อนๆในนี้ทราบดี ตลอดระยะเวลา 6 ปีที่อยู่ในพันธ์ทิพย์แห่งนี้ ผมไม่เคยกล่าวหาใคร   ผมไม่เคยว่าใคร  ผมเคารพการตัดสินใจและการออกความเห็นทุกท่านผมไม่เคยดูหมิ่น และความศรัทธาของใคร  แต่ถ้าใครมาดูหมิ่น เกียตริและความเป้นมนุษย์ ของผม  ผมจะไม่ละเว้น ถ้าอยากจะดิสเครดิตผมแล้วท่านมีความสุข ก้ทำต่อไป เพราะผมมีเครดิต เหลือเฝือ ในแง่การสร้่างสรรสังคม  ไปถามสมาชิกห้องโตะข่าวดูได้ ผมทำอะไรให้ชาตบ้านเมืองนี้ มีตัวตนสัมผัสได้่ เพราะฉะนั้นด้วยพื้นฐานของผมมีต้นทุนทางสังคมสูงพอ ไม่แคร์ว่าจะถูกท่านหักหน้าอย่างไร พี่น้องเพื่อนร่วมชาติที่ทเคารพ กระผมขอประกาศ ณ ที่นี้ว่า กระทู้ของผม ไม่ต้องการต้อนรับ Log in กรองคำ  และไม่มีความยินดีที่จะสนทนาด้วย ในฐานะที่ผมเป็น จขกท  นี้ ผมขอบอกท่านกรองคำว่า ไปไกล ๆจากกระทู้ของผม หวังว่าคงจะเข้าใจ ด้วยความเคารพ และขออภัยเพื่อนๆทุกท่านที่ทำให้เสียอรรถรสในการรับฟังสาระ นานา ซึ่งผมจะเขียนต่อไป เรื่อง มุสลิม กับราชวงศ์ไทย ด้วยความรักพี่น้องผองไทยทุกท่าน ทุกศาสนา พี่จิม ปล  น่าเสียดาย กรองคำท่านนี้  ทำตัวเสมือนชาวพุทธ ถามเท่าไหร่ก็ไม่ยอมบอกว่านับถือศาสนาอันใด ผมใคร่บอกพี่น้องชาวพุทธ ทุกท่าน คนผู้นี้อาจเป็นมือที่สาม ที่มาเสี้ยม ชาวมุสลิม และชาวพุทธ  ซึ่งอยู่ในประเทศไทย ให้มีรอยแยกบาดหมางกันมากขึ้น แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 55 21:53:49 แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 55 21:49:43 แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 55 21:43:59 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 21:42:40

ความคิดเห็นที่ 38 คำว่าแขก จริงๆมันเป็นการดูถูกทางชนชาติครับ ไม่เกี่ยวกับเรื่องศาสนาเลย ยกตัวอย่าง เจ๊ก ลาว ญวน ฝรั่ง นิโกร หรือแขก ซึ่งคำว่าแขก ก็ไม่รู้ว่าเค้าพูดกันตั้งแต่เมื่อไหร่ เอาเป็นว่าแขกหมายถึงชนชาติ ไม่เกี่ยวกับศาสนา(โดยอาจจะมองชนชาติกับศาสนาปนๆกัน) คำว่าบัง หรือ อาบังหากอ้างตาม จขกท. ก็คือ คนไทยได้ยินพี่น้องมุสลิมพูดใส่กันแบบนี้เลยเรียกตาม โดยคิดว่าคำว่าบังนั้นแขกใช้เรียกแขกผู้ชาย(แขกในที่นี้เหมารวมไปหมดทุกชนชาติที่คนไทยเรียกว่าแขก ยกเว้นแขกอาหรับ ที่คนไทยเพิ่มเป็นแขกขาว) ตั้งแต่นั้นหมายทุกคนที่เป็นผู้ชายที่คนไทยเรียกว่าแขก (อิสลาม แขกอินเดีย แขกซิกซ์) ถูกคนไทยเรียกว่าอาบังหมด ตอนหลังพอประเทศไทยรวมเป็นชาติ การดูถูกทางเชื่อชาติลดลง แต่แขกก็ถูกนำมาใช้กับอัตลักษณ์แบบแขกๆ เช่น วัดแขก (วัดฮินดู) แขก(หมายถึงคนไทยเชื้อสายอินเดียหรือปากีสถานที่หน้าตายังคงความเป็นแขกไว้) กล้วยแขก(จงภูมิใจ เพราะมันไม่มี กล้วยไทย กล้วยจีน กล้วยฝรั่ง) สาวแขก (ผู้หญิงหน้าตาแขกๆ ส่วนมุสลิมหน้าไทยๆเค้าไม่เรียกแบบนี้) ผิวพม่านัยตาแขก(ก็คือตาแบบคนอินเดียไม่ได้หมายถึงตามแบบมุสลิมแแต่ประการใด) แขกขาว (ชาวอาหรับ) แขกดำ (มะละกอ) แต่สิ่งบ่งชี้ที่สำคัญที่สุดของการเป็นแขกไม่เกี่ยวกับศาสนาคือ ยกตัวอย่าง เอาคนมา2คน คนที่1 หยาดทิพย์   ราชปาล   คนที่2 สตรีชาวไทยมุสลิมทั่วไปจาก3จังหวัดชายแดนภาคใต้ ใช้โปรแกรมตัดเฉพาะหน้าตา คุณคิดว่า ใครควรถูกเรียกว่าแขกมากกว่ากัน จากคุณ : ยองเจียงใหม่ เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 21:56:51

ความคิดเห็นที่ 39 น้องๆในห้องสินธร ในห้องวิกฤตน้ำท่วม ทราบดีว่าผมเป็นใคร มีความตั้งใจจริงขนาดไหน โดยเฉพาะความเป็นลูกผู้ชายพอ  ไม่ใช่อีแอบ หลายท่านมีเบอร์โทรผม มีอีเมลผม ผมมีแฟนคลับของผมที่ทำงานเพื่อสังคม ไม่มีแบ่งฝักฝ่าย ไม่มีแบ่งสีค่าย ทุกท่านคือเพื่อนร่วมทุกข์สุขของพี่น้องไทย ด้วยความเคารพ พี่จิม จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 22:02:26

ความคิดเห็นที่ 40 คห ที่ 38  ขอบคุณมากครับ ที่ให้เกียตร ในความเป้นคนไทยด้วยกัน ขอบคุณมากครับ ด้วยใจจริง คนที่ดูถูกคนที่นับถือศาสนาอิสลามและไม่ให้เกียตริ นั้นคือ กรองคำ ที่เขียนมาด่าผมนั้นแหละครับ ผมเป็นคนกทม ร่วมสมัย มีบ้านในถนนข้าวสารมาตั้งแต่สร้างกรุงฯ ผมยืนยันได้ว่ามีกลุ่มชนบางคนยังปักใจว่าคนอิสลามคือ แขก และแขกคือไม่ใช่คนไทย ที่ยินยันได้ เพราะคุณแม่และคุณตาของผมต้องโดนย้ายสัญชาติไทยไปเป้น อังกฤษ และฮอลันดา เพราะคำว่าแขกนี่ละครับ เป็นคนไทยแท้ๆ รับราชการ ก็ต้องลาออก เพราะคนที่นับถือศาสนาอิสลาม รับราชการในยุคมืดสังคมไทยไม่ได้ จะเป็น ขรก ต้องเปลี่ยนศาสนา ผมถูกล้อเลียนโดยเอามือวางทูนบนหัว แล้วแลบลิ้นหลอก ในตอนเรียนหนังสือ โดนเพื่อแกล้งเอาชิ้่นหมูปาใส่ ข้าว ทุกวันนี้ก็ยังโดนเพื่อนแกล้งประปราย ผมเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น สาเหตุนี้แหละ คือการเขียนงานขึนมา เพื่อให้ทุกคนทราบว่า มุสลิม ในไทย คือคนที่ร่วมกันสร้างชาตให้มีวันนี้ ไม่ใช่ผู้ที่อาศัยแผ่นดินนี้อยู่ แล้วให้หยุดพฤติกรรมหยามเหยียดอิสลาม ดั่ง ความเห็น ข้างบน ด้วยความเคารพ พี่จิม ปล  ผมมีแม้กระทั่ง  ยูทุปของบรรพชิต ที่ออกมากล่าวว่าแผ่นดินนี้ของชาวพุทธ  เท่านั้น แต่ผมไม่ต้องการให้มันสร้างรอยไปมากกว่านี้ ต้องการให้ทุกคนสามัคคี กัน จึงไม่อยากมานำเสนอ แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 55 22:36:21 แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 55 22:33:12 แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 55 22:12:53 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 22:11:49

ความคิดเห็นที่ 41 หลังเหตุปล้นปืน ที่หนองจิก ผมมีโอกาสลงไปดูงานสร้างทาง สายสามแยกบ่อทอง ตัดไปยะลาและปัตตานี ขณะที่ไปตรวจหน้างาน ได้มีนายช่างรายงานสถานการณืให้ผมทราบว่า มีทหารถูกยิงตาย แถวนั้น ผมได้เข้าไปสืบสวน จึงได้ความว่า ทหารผู้นั้น เมาแล้วไปเกะกะสาว ชาวบ้าน เวลาเมาก็พูจาดูถูกหยามเหยียด มุสลิม ผลสุดท้ายเลยถูกส่องสะ นี่ละครับการดูถูกชาตพันธ์มันยังฝังสมองกันอยู่  ถ้าเราไม่พยายามลบสิ่งที่สร้างกันมา ช่วยกันปกป้อง และสกัดกั้นพวกบ่อนทำลาย ประเทศไทยเราจะหาความสงบได้เช่นไร พี่จิม แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 55 14:12:22 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 22:16:37

ความคิดเห็นที่ 42 ปธน ธิบดี ซูการ์โน อินโดนีเซีย ได้ถามไถ่คุณตาของผม ในขณะที่เข้าพบ ซึ่งผมเดินทางตามท่านไปด้วย ว่าสถานการณ์ การเหยียดศาสนา ในสยาม ยังมีอีกหรือไม่ พวกเราพยายามอธิบายให้เห็นว่า ปท ไทยเราเปิดกว้างให้มากแล้ว คิดว่าอีกไม่นาน จะมีแต่คำว่ามุสลิมไทย ไม่มีคำว่า แขก อีกต่อไป อัลกรุอานฉบับให้ความหมายภาษาไทย โดยท่านจุฬาต่วน สุวรรณศาสตร์ และเป้นอาจารย์ ที่สอนสั่งวิชาการศาสนาอิสลามให้ผม  ในหลวงท่านทรงเป็นองค์อุปถัม ด้วยราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ให้ท่านจุฬา ได้ทำการให้ความหมาย การณ์นั้นดีขึ้นเป็นลำดับ มาช่วง 5-6 ปีหลั้งรัฐประหารในไทย 2549 มีจดหมายบ้าบอคอแตก อะไรไม่รู้มาปลุกปั่น คนไทยว่าอิสลาม จะยึดประเทศไทย มั้นเป้นความบ้า และงี่เง่าที่สุด พี่จิม จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 22:23:36

ความคิดเห็นที่ 43 พวกที่ชอบป่วนหาเรื่อง ไปถาม กอรมน  ดูว่า ในปี 2532  ใครเป็นคนเสี่ยงตาย เอาธงไทยไปโบกสะบัด ณ กลางป่าพื้นที่สีแดง อำเภอแม่ลาน ใคร เป็นคนทำให้ คนไทยมุสลิม 3 จังหวัดภาคใต้ ได้มีโอกาส เรียนและพูดภาษาไทย กลาง  ย้ำคำว่าไทยกลาง ไปถามก่อน แล้วชะโงกดูเงาหัวตนเองว่า ตนเองทำตนเป็นคนไทยที่ดี แล้วหรือยัง หรือคงแต่ความคลั่งและอยู่ในวังวน ความกลัว ความขลาดเขลา เบาปัญญาวันๆได้แต่วิตกจริต ว่า คนไทยมุสลิม จะยึดประเทศไทย พวกเพื่อนป่วน ทั้งหลาย  หยุดคิดและลุกขึ้นมาพัฒนาประเทศไทย ยอมรับความเป็นคนไทย แล้วจูงมือพี่น้องทุกศาสนาให้ร่วมกันเดินเพื่อชาติไทย พี่จิม จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 22:31:09

ความคิดเห็นที่ 44 เพื่อนมุสลิม และเพื่อนชาวไทยพุทธ  เราสองต่างเป็นพี่น้องกันมาตั้งแต่สร้างประเทศไทยมา ผมขอยืนยันว่า มุสลิม ไม่ได้มุ่งหวัง ที่จะเปลี่ยนประเทศนี้ให้มานับถือศาสนาอิสลาม ไม่ได้มีแผนยึดครอง ประเทศไทย แต่อย่างใด เราขอเพียงว่า ให้เราได้มีสิทธฺ์ ได้มีโอกาส ที่จะได้ทำการปฏิบัติศาสนกิจ และได้เดินตามรอยบทบัญญัติของ อิสลาม ท่านไม่ต้องกังวลใดๆ เพราะเราคือคนไทย ที่ร่วมกันสร้างชาติและแผ่นดินนี้มา จนแยกออกจากกันไม่ได้ ตราบชั่วฟ้าดินสลาย มุสลิมมีคำสอนว่า " การรักบ้านเกิดเมืองนอน คือส่วนนึงของการศรัทธา" เราจดจำน้อมนำมาตลอด เพราะเรารักประเทศไทยผืนนี้ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 22:49:33

ความคิดเห็นที่ 45 อัลหั้มดูลลิ้ลลาฮฺค่ะ คุณ จิม สำหรับข้อคิด และ ความเห็นอันทรงค่า ไม่แปลกใจเลยค่ะว่า ทำไม ผู้คน ในห้องโต๊ะข่าว และ ห้องสินธร ( ได้มีโอกาสอ่านลิงค์ต่างๆใน My Kratoo ของคุณ) จึงต่างให้ความเคารพ นับถือ และ ดูเป็นขวัญใจ ของ คนในห้องนั้น ถ้าเป็นไปได้อยากให้อยู่ ห้องศาสนา แห่งนี้ ควบคู่ไปด้วยนานๆแล้วกันนะคะ คือ เพิ่งเห็น ชื่อคุณพี่จิม (Jimbovy) ในห้อง ศาสนา แค่เมื่อไม่กี่วันนี้เองค่ะ จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 23:01:11

ความคิดเห็นที่ 46 มาเข้าเรื่องกันว่า ทำไมพระมหากษัตริย์ไทย จึงเป็นองค์อุปถัมณ์ ศาสนาอิสลาม ดุจเหมือนพี่น้อง  พี่จิม ได้รับการบอกเล่าต่อๆมา รุ่นต่อรุ่น  ว่า  พุทธ พี่ อิสลามน้อง เราต้องรักกันนะ  โตะหยังเขียว  โตะหยัง แปลว่า ทวด เป็นผู้ถ่ายทอดให้ผมฟัง ถ้าทวดผมอยู่อายุ น่าจะ 120 อัพ กระมัง  เรื่องมีดังนี้คือ ผมต้องขอนุญาต เจ้าของงานเขียน ชื่อ ป้าเล็ก มาถ่ายทอดใหฟ้ง  เพราะผมไม่สามารถลำดับได้ทั้งหมด เผอิญไปเจอและข้อความตรงกันกับที่ได้รับการบอกเล่ามา มีดังนี้ ******************************************************* มุสลิมในพระราชวงศ์ ถ้าพูดถึงมุสลิมที่เกี่ยวข้องกับพระราชวงศ์ ส่วนใหญ่ก็จะนึกถึงเจ้าพระยาบวรรัตนราชนายก ( เฉกอะหมัด ) มุสลิมนิกายชีอะฮ์ผู้เป็นต้นตระกูล บุนนาค อะหมัดจุฬา จุฬารัตน์ บุรานนท์ ศุภมิตร จาติกรัตน์ นับเป็นบรรพบุรุษของ เจ้านายหลายองค์ โดยเฉพาะเจ้านายซึ่งมีพระมารดาเป็นคนในตระกูล " บุนนาค " แต่มุสลิมที่มีความเกี่ยวข้องกับพระราชวงศ์นั้น ไม่ได้มีเฉพาะสายเจ้าพระยา บวรรัตนราชนายกเท่านั้น แต่ยังมีสายสุลต่านสุไลมาน ซึ่งเป็นมุสลิมนิกายชุนนีอีกด้วย สุลต่านสุไลมาน เป็นบุตรสุลต่านโมกุล เป็นคนเชื้อสายอาหรับ ได้มาเป็นสุลต่านที่เมือง" สุไล " ในชวาภาคกลาง ใกล้กับเมืองยกยาการ์ตา สุลต่านสุไลมานครองเมืองอยู่ได้ระยะหนึ่งก็เกิดเหตุพิพาทกับพวกเดินเรือชาวโปรตุเกส ถึงขั้นรบชิงเมืองกัน สุลต่านสุไลมานสู้พวกโปรตุเกสไม่ได้จึงพาครอบครัวและพรรคพวกลงเรือหนีมาขึ้นฝั่งสทิงพระ ในปีพ.ศ. ๒๑๔๕ และได้ตั้งบ้านเรือนรกรากอยู่ที่นี่สืบต่อมาเป็นระยะเวลานาน ในปีพ.ศ. ๒๑๖๓ ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นเจ้าเมืองพัทลุง จนถึงสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองก็เกิดเรื่องขึ้น ในเวลานั้น ยามาดา นางามาซะ  ตำแหน่งออกญาเสนาภิมุข ได้มาเป็นเจ้าพระยานครศรีธรรมราช เกิดไม่ชอบหน้าสุลต่านสุไลมาน ขึ้นมาด้วยเรื่องราชการแบบไทย ๆ คือสุลต่านสุไลมานยกทัพเรือจากพัทลุงมาปราบ  สลัดมลายูที่เข้าปล้นเมืองไชยาและขับไล่มลายูออกไปได้ ในเวลานั้นทัพนคร ฯ ยังไม่ทันกระดิกตัวเลยสักนิด ทำให้ยามาดาเกลียดสุลต่านสุไลมานทันทีด้วยข้อหาทำราชการข้ามหัวเจ้าเมืองใหญ่ พระเจ้าปราสาททองนั้นได้นั่งบัลลังก์ด้วยการปฏิวัติสมเด็จพระเชษฐาธิราช ราชโอรสพระเจ้าทรงธรรม แล้วยกเอาพระอาทิตยวงศ์พระอนุชาสมเด็จพระเชษฐาธิราชขึ้นครองราชย์ ต่อมาก็ปลดพระอาทิตยวงศ์เสียแล้วจึงปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์เอง การณ์ครั้งนี้ทำให้เมืองปัตตานีไม่พอใจ เห็นว่าพระเจ้าปราสาททองเป็นกบฏ พระนางมิรุรานีนางพญาเมืองปัตตานีจึงแข็งเมืองในปี พ.ศ. ๒๑๗๕ ครั้นถึง พ.ศ. ๒๑๘๕ สุลต่านสุไลมาน ก็แข็งเมืองบ้างด้วยความไม่กินเส้นกับยามาดาเป็นปฐม และเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาเชื่อถือยามาดามากกว่าตัวท่านเป็นมัธยม ยามาดาจึงฟ้องมาถึงเมืองหลวงว่าพัทลุงถือโอกาสเป็นกบฏตามปัตตานีไปด้วย จึงมีรับสั่งให้ยามาดารวบรวมกองทัพปักษ์ใต้เข้าตีเมืองพัทลุง ในปี พ.ศ. ๒๑๙๑ และ พ.ศ.๒๑๙๘ แต่กองทัพปักษ์ใต้ก็ต้องพ่ายแพ้ทัพเมืองพัทลุงทั้งสองครั้ง ในสมัยนั้นพัทลุงขยายอาณาเขตเมืองออกไปกว้างไกลปกครองเมืองทั้งสองฝั่งทะเล ด้านใต้จรดปัตตานีและไทรบุรี ด้านเหนือจรดนครศรีธรรมราช ถ้าคิดตามแผนที่ปัจจุบันอาณาจักรสุลต่านสุไลมานก็กินเนื้อที่ ๔ จังหวัดคือ พัทลุง ตรัง สงขลา สตูล ปี พ.ศ. ๒๒๑๑ สุลต่านสุไลมานทิวงคต พระศพถูกฝังอยู่ที่ริมทะเลสงขลาด้านหัวเขาแดง สุสานของท่านนี้เรียกกันว่ามะระหุ่มมาจากภาษาอาหรับว่าอัลมัรฮูม แปลว่า ผู้กลับไปสู่ความปราณีของพระเจ้า สุลต่านมสตาฟาได้ขึ้นครองอาณาจักรแทนพระบิดา จนถึงปี พ.ศ. ๒๒๒๓ สมเด็จพระนารายณ์มหาราชจึงโปรด ฯ ให้ทัพหลวงออกไปรวบรวมทัพหัวเมืองฝ่ายใต้ยกไปตีเมืองพัทลุง สุลต่านมุสตาฟายอมอ่อนน้อมแต่โดยดี ทั้งนี้เพราะเวลานั้นเจ้าเมืองนคร ฯ คือ พระยารามเดโช ท่านผู้นี้เป็นมุสลิมและรู้จักคุ้นเคยกับวงศ์ตระกูลของสุลต่านเป็นอย่างดี เมื่อพระยารามเดโชกราบบังคมทูลมายังกรุงศรีอยุธยาจึงโปรด ฯ ให้ครอบครัวของสุลต่านมุสตาฟาขึ้นมาอยู่ที่อยุธยาทั้งหมด ตัวสุลต่านนั้นโปรด ฯ ให้ไปครองเมืองไชยา ปล่อยให้พัทลุงว่างเจ้าเมืองและขึ้นกับนคร ฯ ครอบครัวของสุลต่านนั้นได้มาเข้ารับราชการในตำแหน่งสำคัญ น้องชายของท่านสุลต่าน คือ ท่านฮุลเซ็น ได้ไปเป็นปลัดเมืองไชยา ท่านฮัสเซ็นได้เป็นพระยาราชบังสัน ราชทินนามนี้ตั้งขึ้นจากท่าน ฮัสซันโดยตรง เพราะมุสลิมทั่ว ๆ ไปจะเรียกท่านว่าบังซัน ตำแหน่งนี้เป็นแม่ทัพเรือ และเป็นตำแหน่งสืบทอดในตระกูลสุลต่านสุไลมานตลอดมาในสมัยอยุธยา และบุตรของสุลต่านมุสตาฟาคือ ท่านเตาฟิค ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็น หลวงคชสวัสดิ์ราชบังสัน ถึงสมัยสมเด็จพระเพทราชาโปรด ฯ ให้ท่านฮุสเซ็นไปเป็นเจ้าเมืองพัทลุง เวลานั้น นคร ฯ แข็งเมืองด้วยพระยารามเดโชเห็นว่าพระเพทราชาเป็นกบฎ จึงโปรด ฯ ให้ พระยาสีหราชเดโชขัยยกทัพหลวงไปปราบให้พระยาราชบังสันยกทัพเรือตามไปด้วย พระยาราชบังสันนำทัพเรือไปปิดล้อมทางทะเลเมืองนคร ฯ เอาไว้ พระยารามเดโช เห็นว่าสู้ไม่ได้จึงส่งหนังสือขอให้พระยาราชบังสันช่วยหาทางหลบหนีออกจากเมือง ให้ พระยาราชบังสันเห็นแก่ความสัมพันธ์ที่มีต่อกันมายาวนานจึงช่วยให้พระยารามเดโชหลบหนีออกทะเลไปได้ ความทราบถึงเบื้องพระบาท จึงสั่งให้ประหารพระยาราชบังสันเสียที่เมืองนคร ฯ นั่นเอง ถึงสมัยพระเจ้าเสือ สุลต่านมุสตาฟาถึงแก่อสัญกรรม จึงโปรด ฯ ให้หลวงคชสวัสดิ์ราชบังสัน( เตาฟิค ) เป็นพระยาพิชิตภักดีศรีพิชัยสงคราม ไปเป็นเจ้าเมืองไชยา แต่บุตรชาย ๖ คนของท่านยังอยู่ที่อยุธยา สืบประวัติทราบนามเพียง ๔ คนคือ หลวงราช ฯ หลวงราญ ฯ ขุนลักษมณา ขุนสมุทร ฯ ขุนลักษมณารับราชการได้ไปออกรบมีความชอบ จึงพระราชทานข้าหลวงชื่อ " ดวง "  มาเป็นภรรยา ต่อมาได้กำเนิดบุตรชายชื่อ " หมุด " ได้เข้ารับราชการเป็นหลวงศักดิ์นายเวร  ( เรียกกันง่าย ๆ ว่าหลวงนายศักดิ์ ) ในแผ่นดินพระเจ้าเอกทัศน์ ทางด้านเมืองพัทลุงนั้นโปรด ฯ ให้ท่านตะตา บุตรพระยาพัทลุง ( ฮุสเซ็น ) ซึ่งเป็นพระพี่เลี้ยงในพระองค์มาแต่เดิม เป็นพระยาราชบังสัน แทนท่านอา ( ฮัสซัน ) ซึ่งถูกประหารไป จนถึงสมัยพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ พระยาพัทลุง ( ฮุสเซ็น ) ถึงแก่อสัญกรรม จึงโปรดเลื่อนพระยาราชบังสัน ( ตะตา ) เป็นพระยาแก้วโกรพพิชัย ให้ไปเป็นเจ้าพัทลุง แต่ลูกของท่าน ๔ คน คือ ท่านขุน ท่านเผือก ท่านเมือง ท่านอิน ยังคงรับราชการอยู่ที่อยุธยา ทางอยุธยานั้นก่อนกรุงแตก หลวงนายศักดิ์ ( หมุด ) ได้รับแต่งตั้งให้เป็นข้าหลวงไปเก็บภาษีทางหัวเมืองชายทะเลตะวันออก หลวงนายศักดิ์เก็บเงินได้ ๓๐๐ ชั่ง ระหว่างอยู่ที่เมืองจันท์ก็ได้ข่าวว่ากรุงแตก พระยาจันทบุรีจึงเรียกเอาเงิน ๓๐๐ ชั่ง ว่าจะเก็บรักษาไว้ให้ หลวงนายศักดิ์ ไม่ยอมให้ แอบเอาเงินไปฝังไว้ ตกค่ำก็แต่งพวกจีนโห่ร้องทำเป็นเข้าปล้นแล้วมาโกหกกับพระยาจันทบุรีให้จับตัวขัง แต่หลวงนายศักดิ์ก็หนีออกมาได้แล้วมารวบรวมพวกจีนเตรียมสู้กับเจ้าเมือง เวลานั้นทัพพระเจ้าตากยกทัพมาถึงเมืองจันท์ หลวงนายศักดิ์จึงพาพวกจีนมาเข้าด้วย หลวงนายศักดิ์เป็นมหาดเล็กรุ่นพี่ของพระเจ้าตาก จึงไม่แปลกที่ท่านจะมาเข้าด้วยโดยง่าย นอกจากพรรคพวกที่พามาแล้วก็ยังได้นำเงินภาษีนั้นมาถวายให้เป็นทุนรอนในการตั้งตัว  กู้บ้านเมืองอีกด้วย เมื่อพระเจ้าตากกู้บ้านเมืองได้แล้ว โปรด ฯ ให้ท่านขุน ( บุตรพระยาแก้วโกรพพิชัย ) ซึ่งเป็นมหาดเล็กรุ่นเดียวกับพระองคไปเป็นพระยาแก้วโกรพพิชัยเจ้าเมืองพัทลุงแทนบิดา ท่านขุนนี้เป็นต้นตระกูล ณ พัทลุง และ สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง ต่อมาโปรด ฯ ให้ท่านขุนกลับเข้ามารับราชการที่กรุงธนบุรี แล้วให้ท่านเผือก น้องท่านขุนไปเป็นพระยาพัทลุงแทน ท่านเผือกนี้เป็นต้นตระกูล วัลลิโภดม น้องอีกคนหนึ่งของท่านขุนคือท่านเมือง ได้เป็นพระยาจะนะ ต่อมาได้เลื่อนเป็นเจ้าพระยามหาอานุภาพ จึงโปรด ฯ ให้ท่านอิน น้องคนเล็กไปเป็นพระยาจะนะแทน ลูกหลานของสองท่านนี้ใช้นามสกุล ศิริธร สำหรับหลวงนายศักดิ์นั้นเป็นผู้ที่ได้รับไว้วางพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง โปรด ฯ ให้เป็นพระยายมราช เป็นแม่ทัพเรือยกทัพไปตีเมืองนคร ฯ ซึ่งตั้งเป็นชุมนุมอยู่ พระยายมราชยกทัพไปด้วยจำนวนทหารที่ไม่มากนัก เมื่อไปถึงไชยาก็ได้ทหารเพิ่มจากเจ้าเมืองซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงของท่าน และท่านก็ตีเมืองนคร ฯ ได้สำเร็จ ความดีความชอบครั้งนี้ทำให้ได้เลื่อนขึ้นเป็นเจ้าพระยาจักรี คนรุ่นหลังเรียกท่านว่า เจ้าพระยาจักรีแขก บุตรคนโตของท่านชื่อ จุ๊ย รับราชการตำแหน่ง พระยาราชบังสันแม่ทัพเรือ เจ้าพระยาจักรีแขกนี้เป็นขุนนางคนโปรดของพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้พระราชทาน ที่ดินระหว่างวัดหงษ์รัตนารามกับวัดโมลีให้เป็นหมู่บ้านมุสลิมชุนนี เป็นที่อยู่อาศัยของเจ้าพระยากับญาติของท่าน เจ้าพระยาจักรีได้สร้างมัสยิดกุฏีใหญ่ ( มัสยิดต้นสน )  และเมื่อถึงแก่อสัญกรรม ศพของท่านก็ได้ฝังที่สุสานของมัสยิดแห่งนี้ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมีพระมหากรุณาธิคุณเสด็จมาในงานศพด้วย เมื่อสิ้นเจ้าพระยาจักรีแล้วก็โปรด ฯ ให้พระยายมราช ( ทองด้วง รัชกาลที่ ๑ ) ขึ้นเป็นเจ้าพระยาจักรี ให้พระยาราชบังสัน ( จุ๊ย ) บุตรเจ้าพระยาจักรีแขกขึ้นเป็นพระยายมราชและให้บุตรของท่านชื่อ แม้น เป็นพระยาราชบังสันแทนบิดา ปลายแผ่นดินธนบุรี ทรงมีพระจริตฟั่นเฟือน ครั้นเมื่อเกิดกบฎมหาดา ก็รับสั่งให้ปราบปรามจับกุมตัวมาลงโทษ กบฎมหาดานี้กำเริบถึงขั้นวางตำแหน่งขุนนางต่าง ๆ เอาไว้เกือบครบขาดแต่ตำแหน่งพระยายมราชเท่านั้น จึงรับสั่งให้ประหารชีวิตเสียทั้งหมด และด้วยพระจริตไม่ปกติ ก็โปรด ฯ ให้เอาตัวพระยายมราช ( จุ๊ย ) ไปประหารด้วย เพื่อให้ครบตำแหน่งต่าง ๆ ที่กบฎวางตัวเอาไว้ พระยายมราชจึงต้องตายฟรีไปทั้ง ๆ ที่ไม่มีความผิดด้วยเลย เมื่อเปลี่ยนราชวงศ์ รัชกาลที่  ๑ ทรงรำลึกถึงความดีของเจ้าพระยาจักรีแขกซึ่งเป็นมหาดเล็กรุ่นพี่ของพระองค์เช่นกัน จึงโปรด ฯ ให้บุตรของท่านชื่อ หวัง ซึ่งเป็นน้องของพระยายมราช ( จุ๊ย )มารับราชการในตำแหน่งพระยาราชวังสัน ซึ่งเป็นคนละตำแหน่งกับพระยาราชบังสัน ซึ่งขณะนั้นท่านแม้นผู้เป็นหลานอาของท่านหวังครองตำแหน่งอยู่ ตำแหน่งพระยาราชวังสันนี้เข้าใจว่าจะเป็นตำแหน่งทางด้านควบคุมการค้าขายทางทะเล ไม่ใช่ตำแหน่งแม่ทัพเรือเช่นพระยาราชบังสัน ทางฝ่ายพระยาพัทลุง ( ขุน ) มีบุตรธิดาอยู่หลายคน ธิดาคนหนึ่งของท่านชื่อ กลิ่น ได้ถวายตัวเป็นข้าหลวงในวังในสมัยรัชกาลที่ ๑ ต่อมาได้เป็นเจ้าจอมมารดา เรียกว่า เจ้าจอมมารดากลิ่นเป็นพระมารดาพระองค์เจ้าสุทัศน์ เจ้านายต้นราชสกุล สุทัศน์ ณ อยุธยา บุตรชายคนโตของท่านชื่อ ทองขาว ได้เป็นหลวงศักดิ์นายเวรในรัชกาลที่ ๑ ครั้นเมื่อบิดาคือพระยาพัทลุง ( ขุน ) และอาคือ พระยาพัทลุง ( เผือก ) ถึงแก่อสัญกรรม ก็โปรด ฯ ให้ท่านทองขาวได้เป็นพระยาพัทลุงสืบตำแหน่งไป ฝ่ายพระยาราชวังสัน ( หวัง ) บุตรเจ้าพระยาจักรีแขก มีบุตรธิดาหลายคน คนหนึ่งคือ คุณหญิงชะฮ์ซึ่งมีธิดาหลายคน คนหนึ่งคือคุณหญิงศรีสรราช ซึ่งเคยรับราชการเรียกกันว่า พระนมรอด คนหนึ่งคือ ท่านเพ็ง คนหนึ่ง คุณหญิงปล้อง ท่านเพ็งได้สมรสกับพระยานนทบุรีซึ่งเป็นชาวพุทธ มีธิดาชื่อ มาเรียม ต่อมาได้เป็นเจ้าจอมมารดาในรัชกาลที่  ๒ เรียกกันว่า " เจ้าจอมมารดาเรียม "  เจ้าจอมมารดาเรียมนี้เองที่น่าจะเป็นเจ้าของแกงมัสมั่น และลุตตี่ในกาพย์เห่ชมเครื่องกับข้าวคาวหวาน พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๒ กาพย์พระราชนิพนธ์นี้เชื่อกันว่าทรงชมฝีพระหัตถ์ทำกับข้าวของสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี แต่คงจะมีกับข้าวบางอย่างที่ทรงชมฝีมือของเจ้าจอมท่านอื่น เพราะเจ้าจอมท่านอื่นก็มีฝีมือ ทางกับข้าวเหมือนกัน โดยเฉพาะกับข้าวแขกนั้นจะเป็นฝีมือใครไปไม่ได้เลย นอกจากฝีมือ เจ้าจอมมารดาเรียม ซึ่งได้มาแต่งงานกับพระองค์ตั้งแต่ครั้งที่พระองค์ยังเป็นบุตรของ เจ้าพระยาจักรีและเวลานั้นก็ยังไม่ได้อภิเษกสมรสกับสมเด็จ ฯ ( อภิเษกสมรสในเวลาทรงเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ ) เจ้าจอมมารดาเรียมประสูติพระราชโอรสสามพระองค์ คือ พระองค์เจ้าทับ พระองค์เจ้าป้อม พระองค์ เจ้าหนูดำ พระองค์เจ้าทับได้เสวยราชย์เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๓ พระองค์เจ้าป้อมกับพระองค์เจ้าหนูดำสิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ เมื่อถึงรัชกาลที่ ๓ ทรงสถาปนาพระราชมารดาขึ้นเป็นกรมสมเด็จพระศรีสุลาลัย บรมราชชนนีและสถาปนาท่านเพ็ง พระอัยยิกาเป็นพระชนนีเพ็ง ความที่บรรพบุรุษฝ่ายพระราชมารดาเป็นมุสลิมนี่เอง ที่ทำให้รัชกาลที่ ๓ ได้เสวยนมเนยมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ นมที่เสวยทุกวันเมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์แล้วนั้นก็ได้จากแขกเลี้ยงวัวที่สี่แยกคอกวัวนั้นเอง ท้าวประดู่ในเรื่องระเด่นลันไดก็อาจจะเป็นแขกคนหนึ่งที่ได้รีดนมวัวส่งเข้าวัง ความเคยชินกับข้าวแขกของพระองค์นั้นปรากฏอยู่ในพระราชหัตถเลขาพระราชทานสมเด็จ ฯกรมพระยาเดชาดิศร ปรารภพระอาการในเวลาประชวรก่อนสวรรคต ทรงเล่าว่าเสวยพระกระยาไม่ได้ ยังดีที่เสวยข้าวบุหรี่ได้ ( ข้าวหุงกับเนย ใส่ขมิ้น อบเชย ลูกกระวานและข้าวโพด เชื่อกันว่าเป็นอาหารเมืองคาบูล อัฟกานิสถาน ถ้าจะเรียกให้ถูกก็ต้องเรียกว่าข้าวคาบูลีตามชื่อเมืองคนไทยเรียกกันเป็นข้าวบุหรี่ ชาวเมืองคาบูลที่เข้ามาอยู่ในไทยนี้คนไทยเรียกกันว่า ( แขกกะบ๊น ) ส่วนคุณหญิงปล้องน้องของพระชนนีเพ็งนั้นได้สมรสกับพระยาพัทลุง ( ทองขาว ) ซึ่งเป็นญาติกัน ธิดาของท่านคนหนึ่งชื่อ ท่านผ่อง ได้สมรสกับพระอักษรสมบัติ มีธิดาคนหนึ่งชื่อ ทรัพย์ ซึ่งต่อมาได้ถวายตัวเป็นเจ้าจอมมารดาทรัพย์ประสูติพระองค์เจ้าศิริวงศ์( ถ้านับญาติกันทรงเป็นเหลนของพระยาพัทลุงทองขาว ) รัชกาลที่ ๓ ทรงสถาปนาพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์นี้เป็นสมเด็จ ฯ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์ ทรงเป็นต้นราชสกุล ศิริวงศ์ ณ อยุธยา มีพระธิดาองค์สำคัญคือ หม่อมเจ้ารำเพยภมราภิรมย์ ซึ่งต่อมาคือสมเด็จพระศิรินทราบรมราชินี ในรัชกาลที่ ๔ พ.ศ. ๒๔๐๒ รัชกาลที่ ๔ เสด็จหัวเมืองปักษ์ใต้ สมเด็จ ฯ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ( รัชกาลที่ ๕ )ตามเสด็จด้วย เมือถึงเมืองสงขลาพระยาพัทลุง ( ทับ ) บุตรของพระยาพัทลุงทองขาวมาเข้าเฝ้ารับเสด็จด้วย เมื่อท่านได้ถวายบังคมพระเจ้าอยู่หัวแล้ว รัชกาลที่ ๔ ก็ตรัสให้พระเจ้าลูกยาเธอไหว้พระยาพัทลุง แล้วรับสั่งว่า ****** " เราเป็นญาติกัน "***** มุสลิมชุนนีสายสุลต่านสุไลมานที่มีความเกี่ยวดองกับพระราชวงศ์ ก็มีอยู่ดังที่ได้บรรยายมาข้างต้นนี้     ถ้าสรุปง่ายในราชวงศ์จักรี นั้นมีสองพระองคืท่านที่มีเชื้อสาย มุสลิม คือในหลวงรัชกาล ที่ 3  และ ในหลวงรัชกาลที่ 5 พระมหากษัตริย์ ราชวงศ์จักรี องค์ใด ที่มีพระราชมารดา เป็นเชื้อสายมุสลิมฝั่งธนฯ ? ....มีสองพระองค์ ได้แก่ รัชกาลที่ ๓ เนื่องจาก เจ้าจอมมารดาเรียม หรือสมเด็จพระศรีสุลาลัย พระบรมราชชนนี ทรงเป็นหลาน ของพระยาราชบังสัน (หวัง) ซึ่งเป็นเชื้อสายของ สุลต่านสุลัยมาน มุสลิมนิกายสุหนี่ .... อีกพระองค์หนึ่งคือ รัชกาลที่ ๕ เพราะ สมเด็จพระเทพศิรินทรา บรมราชชนนี ทรงเป็นพี่น้อง กับคุณหญิงกลิ่น มารดาของ พระยาจุฬาราชมนตรี (สิน) ซึ่งเป็นมุสลิมนิกายชีอะฮ์ ....และในขณะนี้ก็ยังมีเกี่ยวพันกันอยู่แต่ไม่เป็นที่เปิดเผยมากนัก สรุป อีกคราว่า  พุทธ อิสลาม ไม่ใช่อื่นไกล  คือพี่น้องร่วมสร้างชาต และแผ่นดินกันมา ด้วยความเคารพ   พี่จิม แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 55 23:34:04 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 23:05:38

ความคิดเห็นที่ 47 คุณลันตา  ผมไม่มีพลังอันใด  แต่ด้วยความตั้งใจจริงของผม ในการประสานความรักสามัคคี ในชาติ การรักบ้านเกิดเมืองนอนของผม  พระองค์อัลเลาะห์  พระผุ้เป็นเจ้าที่เราชาวมุสลิม เอาหน้าผากแตะพื้นดิน  นั้นเป็นผู้ให้พลัง และความสำเร็จ ของผม ลำพังผมเอง ไม่มีพลังอันใดเลยครับ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 23:10:01

ความคิดเห็นที่ 48 จริงอยู่ที่มีชาวไทยพุทธหลายๆคน(ความจริงมันก็ทุกศาสนานั้นแหละ) มีมิฉฉาทิฐิแรงกล้า อคติบังตา มองว่าสรรพสิ่งเที่ยงแท้ ทั้งๆที่ในศาสนาพุทธก็สอนไว้ว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวงมิได้มีไว้ยึดแต่ หากแต่เพื่อปล่อยวาง คนเราต่างคนต่างความคิดครับ อันว่าดอกไม้ ก็ใช่ว่าจะหอมไปซะหมด หอมมากก็มี ไม่มีกลิ่นก็มี กลิ่นเหม็นเน่าก็มี ก็คิดซะว่าหมูหมามันขี้ใส่ ขุนเขายิ่งใหญ่มันคงไม่สึกหรอไปเท่าไหร่หรอกครับ จากคุณ : ยองเจียงใหม่ เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 00:36:31

ความคิดเห็นที่ 49 ขอบคุณครับท่านยอง เชียงใหม่ ประเทศไทยเรา และพุทธศาสนิกชน ถ้ามีคนคิดได้แบบท่าน เยอะๆๆ ปํญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้  ปัญหาชนกลุ่มน้อย ภาคเหนือ ก็คงจะเบาบางลง ครับ การยอมรับและให้เกียตริกัน ในเชิงสัญญลักษณ์ นั้น คือการให้เกียตริในความเป็นคน เป็นพื้นฐานความมั่นคงของประเทศ จริงผมไม่ได้สนใจอะไรมากมายใครจะว่าอย่างไรก็ช่างเพราะผมถือว่าผมคือคนไทยประชาชนชั้น 1 ของประเทศนี้ ที่ลุกออกมาเขียนเพราะต้องการปรามคนเหล่านี้ ว่า อย่าคิดว่าจะกดหัวคนอื่น แล้วคนอื่นเค้าไม่มีสิทธ์ลุกขึ้นมาปกป้องศักดิ์ศรีตนเอง กระนั้นหรือ พฤติกรรมแบบนี้เราเห็นมากมายในสังคม  คนเอาเปรียบได้ เอาเปรียบมาตลอด  พอคนเสียเปรียบลุกขึ้นมาต่อต้านก็หาว่าหัวแข็ง  หัวหมอ  บ้างละ  ที่ตนเองทำไม่เป็นไร เพื่อนๆท่านใดมีระบบคิดแบบนี้ เลิกนะครับ  เลิกเพื่อตัวเราเองแหละไม่ใช่เพื่อใคร โลกเราใบนี้ มันไม่ได้กว้างไกล แบบเมื่อก่อน วนไปมา ผลกระทบมันตามเราทันครับ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ด้วยความเคารพ และความขอบคุณ พี่จิม จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 00:45:02

ความคิดเห็นที่ 50 ขอบคุณ คุณ พี่จิม (Jimbovy) เช่นกันครับ ความผมมีเรื่องเสริมประเด็นนี้อีก แต่มันอาจจะหนักเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเพราะต่างคนต่างความคิด หากคุณ พี่จิม (Jimbovy)  สนใจก็หลังไมค์มาได้นะครับ จากคุณ : ยองเจียงใหม่ เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 01:21:55

ความคิดเห็นที่ 51 นำเรียน จขกท.นี้ คือ login Jimbovy เพื่อให้มีสำนึกรู้ตนเองว่า ณ ที่นี้คือ ห้องศาสนา แห่งพันทิปดอทคอม  ไม่ใช่ห้องเฉพาะกิจน้ำท่วม ไม่ใช่ห้องปลิ้นกระเป๋าโชว์ทรัพย์สินทร และไม่ใช่ห้องเฉลิมไทย   แต่ ณ ที่นี้  ที่ ท่าน จขกท. ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา คือ ห้องศาสนา-นะ  บางข้อความจาก ความคิดเห็นที่ 104 กระทู้ ฮิญาบ  คลิกไปก็ยังได้อยู่-นะ ท่านสุดเดียวดายครับ  ก็เพราะความเห็นส่วนตัว ของท่านนั้นแหละครับ  กระทู้มันเลยยาวจวนจะถึงโกลก  อยู่แล้วครับ  <@ ความเห็นส่วนตัวของผู้อื่น ล้วนไม่ถูกต้อง  แต่กี่ คคห.มาแล้ว ที่ จขกท. สำแดงวาทะ ขึ้นมา ด้วย ความคิดเห็นส่วนตน ??? ความ แตกแยกจะเกิดขึ้น  ก็เพราะอีโก้  ของท่านเองนะครับ  สังคมทุกวันนี้เรื่องความแตกแยก แปรเปลี่ยนเป็นความแตกต่างทางความคิด   เรื่องศาสนากำลังไปได้ดี  ได้สวย คนเลิกเรียกคำว่าแขก ก้มาก  เลิกเรียกคำว่าเจ้กก็เยอะ (ปล  ผมก็เชื้อสายจีน) ดีกว่าเมื่อ 40-50  ปีก่อนด้วยซ้ำ  ถ้าไม่มีการป่วนรวนของพวก อัตตานิยม ไม่รู้จักคำว่า อนัตตา  <@ วาทะ ๑ แสดงความไม่เห็นด้วย  แต่อีกเวลา ๑ เป็นท่าน จขกท.เสียเองที่ ใช้สิ่งที่ตนเองบอกว่าไม่เห็นด้วยนั้นเสียเอง แม้แต่คำว่า แขก ที่พยายามตีความเข้าถึงเรื่อง อิสลาม ซึ่งคือเรื่องทางศาสนาโดยตรง แต่พอมีท่านสมาชิกฯผู้ศึกษามาถ้วนถี่ ทางด้านจิตวิทยาและสังคมวิทยา ว่าด้วยเรื่องศาสนาอันเกี่ยวเนื่องถึงระบบสังคมชุมชน และ อื่นๆ ว่า แขก เจ๊ก จีน หิน แฮ่ แป๊ะ เหล่า ฮ่อสะพายควาย อะไร ๆ ทั้งหลายนั้น เป็นเรื่องของการเหยียดทางสายกำเนิด-เชื้อชาติ ไม่ใช่เรื่องศาสนา ในคคห.๓๘        ท่าน จขกท.ก็ปลิ้นลิ้นเข้าศิโรราบ แทบจะกราบขอบพระคุณ ท่าน ยองเจียงใหม่  เพราะความคิดเห็น ตามจริง ของท่านยองเจียงใหม่ มันเข้าตา เข้าทางที่จะทำให้ แถ เบี่ยงออกทางเบี่ยง ที่เลี้ยวผิดแต่แรก ให้ออกไปต่อหาทางแยกหน้า ต่อไปได้ กับคำว่า แขก        ที่เป็นตนเอง login Jimbovy จขกท.นี้ เอง แท้ๆ ที่ โยกมาจากกระทู้ต้นทางโน้น  ซึ่งมีคำว่า แขก ๓ คำ  และเป็น แขก จากปากของ จขกท. นี้ทุกคำ และ ทุกคำว่า แขก นั้น  โดยบริบทต้นทางของคำ และ/กับเนื้อความประโยคต่อเนื่องที่โยงไปถึงคำว่า แขก  ล้วนเป็นการ ยืนคำ และ พาดพิง  ต่อเนื่องเนื้อหา เข้าสู่เรื่อง ศาสนา คือ อิสลาม ทั้งสิ้น ความคิดเห็นที่ 57 แขก......อาบัง...........อิสลาม มันเกี่ยวกันตรงไหนหว่า งง เจงๆ ความคิดเห็นนี้ได้แตกไปยังกระทู้ Y11530011 จากคุณ : Jimbovy เป็นเช่นนี้แล้ว จะให้มอง จขกท. นี้ คือ login Jimbovy  นี้ว่าอย่างไร ??? ความคิดเห้นส่วนตัวต้องกระซิบครับ  ดูลาดเลาก่อน แต่ถ้าตะโกนดังๆๆ  มันเป้นข้อคิดเห็น สาธารณะไปแล้วครับ <@ ถ้า จขกท.นี้ ไม่กินดอกตะแบง   กรณีนี้  ก็คือ เรื่องราว สาธารณะ บนนัยยะเดียวกันกับที่ จขกท.วางเป็น วาทะ ไว้-นะ ดังนั้น การชี้ว่า จขกท. คือ login Jimbovy นี้  ขี้โอ่-โอ้อวด เข้าลักษณะ ทำดีเอาหน้า และเรียกร้องหาการให้เกียรติ [สะกดถูกต้องด้วย] ดั่ง คนขี้ยกก้นอวดชาวบ้าน จึงเป็น การวิจารณ์กลางสายตาสมาชิกฯ ในสื่อสาธารณะ ที่ใช้เป็นสังคมการอยู่ร่วมกัน ถ้าผิด  คนกว่า 500 คน ย่อมลุกขึ้นมาชี้ ความไม่ถูกต้องนั้นๆได้ - นะ ส่วน ประโยคสุดท้าย ความแตกแยกจะเกิดขึ้นได้  ก้เพราะมีก้วน อคตินิยมละครับ คงไม่ใช่จากพวกเราแน่นอน  เพราะเพื่อนมุสลิมในนี้ รักเพื่อนมนุษยืทุกท่านไม่ว่าศาสนิกใดก็ตาม อิสลามมีคำสอนว่า  มวลมนุษยชาติคือสมบัติ ของพระผุ้เป็นเจ้านะครับ  บาย   .....บาย   จุฟๆๆๆ ทุกคน โดยเฉพาะคนที่ ลาก login Jimbovy เข้ามาห้องศาสนา รู้ดีว่า มีน้องใหม่เข้ามาช่วงนี้มากเป็นพิเศษ  และ OP&WM ไม่ได้นั่งงหลับ-นะ จขกท. อย่าได้สำคัญผิดในความเป็น จขกท. ณ ที่นี้ คือ สาธารณะในสังคมอยู่ร่วมกัน โดยมี กฏเกณฑ์ ระเบียบกำหนดชัดเจนตั้งแต่แรกยื่นหมายเลขบัตรประชาชนเอา login มาใช้กัน loginใด ใครหน้าไหนก็ไม่มีอำนาจ ชี้ให้ใคร-ผู้ใด เข้า/ออก กระทู้ใดๆได้ตามอารมณ์อยากของตนเอง  ไม่ว่าจะอ้างถือศาสนาอะไร ทุก login ล้วนแต่ เสมอด้วยฐานะ ที่มีเท่าเทียมกันในระบบการพิจารณา ที่ ขึ้นตรงตาม กฏเกณฑ์ และ ระเบียบของเว็บพันทิป        หากมีที่ต่างกัน อันที่จะแตกต่างกันก็คือ สันดาน ในการสื่อสาร จริตนิสัยในการสนทนา  กับ ทิศทางความเป็นไปตามเจตนาคติ  ซึ่งขึ้นตามเนื้อหาที่แต่ละคนใฝ่ศึกษา/ใฝ่เสาะหาตามแนวทางที่ ถูกจริตกรรม ของตนเอง และ/หรือ ของกลุ่มตนเอง เท่านั้น        อีกประการ ๑  เพราะว่า  เมื่อเป็นความคิด ก็ต้องกระซิบครับ ถ้าตะโกนโหวกเหวก ๆ มันก็เป็น...> มันเป้นข้อคิดเห็น สาธารณะไปแล้วครับ <@ ฉันใด ก็ ฉันนั้น คือ ตามนี้-นะ           จขกท.นี้ จะเข้าใจ วาทะจากปากของตนเอง แจ่มแจ้ง และ ชัดเจนดีอยู่มั๊ย ??? ท่านเจ้าของกระทู้นี้ อย่าลืมว่า เป็นใคร ที่ต่อเนื่องเรื่องราวขึ้นมา  กรองคำ แฟร์พอที่จะบอกว่า ทั้งคู่ โดยไม่ยก ปล ที่ท่าน จขกท.นี้ได้วางไว้ในเชิงท้าทายกึ่งเสียดสี ใครอ่านก็ต้องเรียนเชิญ อย่างที่ กรองคำ ก็ตั้งกระทู้ใหม่ขึ้น เรียนเชิญ ท่าน logim Jimbovy เข้าไป  แล้วไฉนท่านไม่เข้าไป แต่ยังกล่าวถึงกระรอกและอัตตาวนไปมาอยู่ในกระทู้ อวย ฮิยาบ กระทู้นี้ ปล ท่านกรองคำว่างๆเสนอแนะมั่งนะครับ ให้ผมเล่นบทเสนอแตฝ่ายเดียว มันน่าเบื่อ และเสียเปรียบ ให้ผมเล่นเป็นฝ่ายค้านบ้างนะครับท่านกรองคำ รับรองผมจับผิด  เอ้ย จับประเด้นได้ไม่น้อยกว่าท่านอย่างแน่นอน แก้ไขเมื่อ 01 ม.ค. 55 17:36:34 สอง-สามบรรทัดสีฟ้านี้ วาทะใคร ข้อความของผู้ใด ที่เป็น ปัจฉิมลิขิตถึง กรองคำ ??? โปรดพิจารณาการกระทำของตนเอง เช่นที่ กล่าวย้อนคำให้คนอื่นพิจารณาการกระทำของคนอื่น  และ จำจำ ทุกวาทะ ทุกคำที่ออกจากปลายนิ้วของ จขกท.ด้วย  เพราะเมื่อมันแสดงสู่ สาธารณะแล้ว มันก็คือ การพร้อมที่จะมี การเห็นด้วย/เห็นแย้ง          และเมื่อเป็นข้อความที่เสี้ยมปลายแหลม หรือ ลับสัน-บากกั่นคำให้คม นั่น-นั้นก็ย่อมเป็นข้อความที่พร้อมจะมี การโต้ตอบกลับ    ตถตา...มันย่อมเป็นฉะนั้น เช่นนั้น นั่นแล ท่าน จขกท.  และ จขกท. นี้ คือ login Jimbovy คนนี้- คือคนที่เอ่ยคำว่า แขก เข้ามาเกี่ยวโยงกับการหมิ่นในเชิงศาสนา-ไม่ใช่ในเชิง การดูถูกทางชนชาติ แต่ต้น-นะ ย้อนดู วาทะ ของตนเองเสียให้ถ่องแท้ถ้วนถี่ ก่อนที่จะ ชี้ว่าอะไรใคร โดยเฉพาะ คำกล่าวที่ฟ้อง ท่านยองเจียงใหม่ไว้ว่า ... คนที่ดูถูกคนที่นับถือศาสนาอิสลามและไม่ให้เกียตริ นั้นคือ กรองคำ ที่เขียนมาด่าผมนั้นแหละครับ โปรดพิจารณา คำพูด ของตนเองด้วยว่า ยกบริบทใดมา ยกที่ว่า เป็นการดูถูกนั้น ขึ้นมาให้ปรากฏ ณ ที่นี้ ทีหรือ ศาสนิกที่เป็นสมาชิกฯห้องศาสนา แห่งนี้ ล้วนมีสติปัญญา&วิจารณญาณ ในการพิจารณา เหตุ~เรื่องราว ตามจริง ได้แม่นยำพอ-นะ          login Jimbovy  คือ จขกท. นี้  ก็ จง ยกข้อความที่ทำให้ตนเองกล่าวชี้ คนอื่นขึ้นมาได้ กรณีนี้คือ ท่านกล่าวชี้ login กรองคำ  จขกท. ยกข้อความนั้นๆขึ้นมา ชัดๆ ให้กระจะกระจะ แก่สายตากันไป โดยทั่วกันเลย จะดีกว่า และเหมาะสมที่สุด-นะ อย่าเพิ่งกลับไปห้องสินทรหรือห้องเฉพาะกิจวิกฤตน้ำท่วมเสียก่อนที่จะ เคลียร์ ข้อความ วาทะ ของ จขกท.นี้ก่อนด้วย-นะ          ด้วยความนับถือที่ยังพอมีให้ ในฐานะสัตว์ที่เกิดมาบนสังสารวัฏ เดียวกันบนโลกใบนี้ และ คุณไม่มีสิทธิ์ใช้ ศาสนา เข้ามา ไล่ใครหน้าไหน ออกไปจากกระทู้ของคุณ -จงเข้าใจเสียใหม่         เพราะที่นี่คือ ห้องศาสนา  ประวัติการท่องทาง ทะเลาะเบาะแว้งกันในเรื่องศาสนาของทุกคนมีอยู่ที่ op&wm ผิดถูก ดีชั่ว เลวร้าย ยังไง ไม่ใช่ใครจะชี้นิ้วตัดสินตามลมปาก ตามใจอยาก ของตนเองได้           เพราะตรงนี้ คือ สังคมที่อยู่ร่วมกันมาในแง่มุมของศาสนา                  ไม่ใช่ห้องหุ้น ไม่ใช่ห้องเฉพาะกิจน้ำท่วม ไม่มีการยกก้นขี้อวดคน ไม่มีการเอ่ยอ้างเล่าถึงในเชิง ลำเลิกเถิกบุญคุณ และไม่มีการเรียกร้องหาเกียรติให้ตนเอง ถ้าอยากได้เกียรตินั้น คนอยากได้มันต้องสร้างขึ้นมาเอง   เข้าใจมั๊ย-นะ จากคุณ : กรองคำ เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 02:13:16

ความคิดเห็นที่ 52 เกีลยด เกลียด เกรียต เกียน เกรียน เกรียติ เกิรยติ เกิยตริ  เกรียติ ขออนุญาตแทรก พักโฆษณาครับ ^^" จากคุณ : Nirvanastream.com (สวรรค์รำไร) เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 04:17:52

ความคิดเห็นที่ 53 เกียรติ มันพิมพ์ยากอย่างนี้นี่เอง... จากคุณ : สวรรค์รำไร เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 04:21:01

ความคิดเห็นที่ 54 ขออนุญาต เปิดโลกทัศน์ สำหรับคนที่ยัง ใหม่ ต่อ กฏสภาวะการณ์ ของ ห้องศาสนา ณ พันทิปดอทคอม แห่งนี้  ยกตัวอย่าง กรณี ใกล้ตัว จขกท. ที่กล่าวว่า.. ปล  ผมมีแม้กระทั่ง  ยูทุปของบรรพชิต ที่ออกมากล่าวว่าแผ่นดินนี้ของชาวพุทธ  เท่านั้น แต่ผมไม่ต้องการให้มันสร้างรอยไปมากกว่านี้ ต้องการให้ทุกคนสามัคคี กัน จึงไม่อยากมานำเสนอ โปรดกด  link กระทู้เก่า บรรทัดล่างลงไปจากนี้ ถ้าหากยังไม่มีสมาชิกฯเก่าๆบางคนกระซิบบอกหลังไมค์ไปแล้วว่า เรื่องที่ยกมาเป็น ปล นั้น มันข้ามปีมานานแล้ว-นะ ๑. [อิสลาม] "ภัยพระพุทธศาสนา กับการเรียกหาเสรีภาพ (คลิก_เพื่ออ่านทั้งหมด) ๒. กรณี ฮิยาบ เมื่อ ต้นเดือน มีนาคม ๒๕๕๔ (คลิก_เพื่ออ่านทั้งหมด) ๓.  "เรา ต้องการคนที่คิดอย่างเป็นอิสระ ไม่มัวตามคนอื่น ผมคิดว่าความกดดันในการอ่านอัล-กุรอา นเป็นภาษาอารบิกก็เพราะเงินทุนส่วนใหญ่ ในการศึกษาของมุสลิมมาจากโลกอาหรับ มุสลิมจำนวนมากท่องจำอัล-กุรอานเหมือนนกแก้วนกขุนทอง แต่ไม่เข้าใจความหมายเลย และในความคิดผมนี่คือส่วนหนึ่งของปัญหาที่ทำให้เกิดพวกสุดโต่ง คัมภีร์เล่มนี้ถูกลงมาให้มวลมนุษย์เมื่อ 1,400 ปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มนุษย์คุ้นเคยกับนิทานสมมติและสัญลักษณ์ต่างๆ แต่ปรากฏว่าแม้อัล-กุรอานจะลงมาตั้งนานแล้ว ทุกวันนี้คนที่การศึกษาน้อยก็ยังถูกโน้มน้าวจากนิทานสมมติอยู่ดี" (คลิก_เพื่ออ่านทั้งหมด) ๔. กรณี ฮิยาบ  กระทู้เก่าเก็บตั้งแต่ปี ๒๕๔๗ เป็นแหล่งข้อมูลสมัย ห้องสมุด ที่มีการ copy&paste มาตั้งเป็น คคห.ใหม่ สืบมาถึงทุกวันนี้ [คลิก ฮิยาบ '47] -นะ ๕. ฮิยาบ และ อื่นๆของอิสลาม ที่ถือเป็นบทความเสริม วิชา อิสลามศึกษา ในชั้นม.ปลาย ได้จนถึงปัจจุบันนี้ ไม่เก่ามากมาย เพียงเดือน พฤษภาคม ปี ๒๕๕๒ คือหลังจากเปิดภาคการเรียนที่ ๑/๕๒ ไม่กี่วันเท่านั้น      สรุป ถ้าจะให้ยกตัวอย่างมากกว่านี้ก็ได้ แต่สิ่งที่อยากจะบอกคือ แนวคิด ความเชื่อ ของมุสลิมมีหลากหลาย (ซึ่งแต่ละฝ่ายก็อ้างว่าตัวเองจริงคนอื่นปลอม) แต่ก่อนนี้ แนวคิดความเชื่อ มักจะแบ่งกันตามพื้นที่ แต่ด้วยยุคสมัยนี้ข่าวสารข้อมูลมาถึงกันมากแล้ว ในหมู่บ้านหรือชุมชนเดียวกัน ก็ปรากฏคนที่มีแนวคิด ความเชื่อ และการปฏิบัติ ต่างกัน [login น้องจั๋ง : คลิกอ่านทั้งหมด] ปล  ผมมีแม้กระทั่ง  ยูทุปของบรรพชิต ที่ออกมากล่าวว่าแผ่นดินนี้ของชาวพุทธ  เท่านั้น แต่ผมไม่ต้องการให้มันสร้างรอยไปมากกว่านี้ ต้องการให้ทุกคนสามัคคี กัน จึงไม่อยากมานำเสนอ ๖. ตามข้อความที่ จขกท. กล่าว ปล  มันก็เป็นรูปแบบ ๑ ของ คนที่ขี้ยกก้นให้คนอื่นดู ในทรรศนะของ กรองคำ อีกวาทะ ๑ เท่านั้นเอง-นะ และที่ จขกท. กล่าวว่ามีแม้กระทั่ง ยูทุปของบรรพชิตนั้น  เป็นเรื่องนี้ใช่หรือไม่ ???   ปล. ตั้งกระทู้ในห้องศาสนานี้ โดยสมาชิกฯ login มุสลิม laliklalee ตั้งแต่เมื่อ มิถุนายน ๒๕๕๔ login laliklalee ถาม โฆษกมหาเถรสมาคมยุแยงให้หวาดระแวงมุสลิมทำไม? http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2011/06/Y10740017/Y10740017.html จากคุณ : กรองคำ เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 05:09:57

ความคิดเห็นที่ 55 และได้ลบความเห็นของตัวเอง ที่ 172 ด้วยค่ะ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y11507132/Y11507132.html แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 55 08:12:44 แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 55 07:51:37 จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 06:52:20

ความคิดเห็นที่ 56 คุณ กรองคำ ผมพยายามรักษามารยาท และให้เกียตรกับ คุณอย่างสุดความอดทน เรื่องศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน การวิพากษ์ วิจารย์ใดๆที่เป็นข้อขัดแย้งอย่างรุนแรง และเป็นประเด็นกล่าวหาให้ร้ายตัวบุคคลโดยเฉพาะเจาะจง ผู้เขียนต้องสามารถรับผิดชอบ คำขีดเขียนของตนเองได้ เฉกเช่นการประชุมในที่ประชุม ก่อนการอภิปรายใดๆ ต้องลุกขึ้นแจ้งสถานะตนเองก่อน คุณกรองคำ  คุณทำในสิ่งเหล่านี้หรือยัง ทั้งที่ผมร้องขอต่อคุณไปแล้ว คุณ กรองคำ   ถ้าคุณไม่สามารถเปิดเผยตัวตน  ของท่านว่าคือใคร คุณ กรองคำ   ถ้าท่านไม่สามารถเปิดเผยว่าท่านนับถือ ศาสนาอะไร คุณกรองคำ     ถ้าท่านไม่สามารถ รับผิดชอบคำพูดใดๆของท่าน คุณไม่สมควรได้รับเกียตริอันนั้น ในห้องของคนอื่น พี่น้องพุทธศาสนิกชน ทั้งหลาย อันเป็นพี่น้องที่กระผมและเพื่อนๆมุสลิม รักใคร่ทุกท่าน ผมขอแจ้งให้ทราบว่า ถ้าคุณกรองคำ ไม่สามารถแจ้งสถานะการนับถือศาสนาของตัวเองได้ ผมถือว่าคุณกรองคำ  คือมือที่สาม ที่มายุแหย่ ให้ศาสนาพุทธ และอิสลาม มีความเกลียดชังกันมากขึ้น ผมไม่อยากใช้คำพูดที่รุนแรง อะไรกับคนอื่น เพราะยิ่งใช้มากเท่าไหร่ นั้นคือกระจกเงาที่ส่องตัวผมเอง หวังว่าคงจะเข้าใจ พี่จิม ปล  ก็เพราะห้องนี้คือห้องศาสนา การเสนอข้อคิดเห็นใดๆ ที่ออกไป ถ้าไม่คิดก่อนพูด ผลที่จะตามมาคือ ความแตกแยกทางสังคม จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 06:53:19

ความคิดเห็นที่ 57 ถึงคุณจิมค่ะ บอกตามตรงค่ะ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยด่าผู้ชายมาก่อนเลย นี่ก็คงจะเป็นครั้งแรก แต่มันอดไม่ไหวค่ะ เลยหลุดไป เพราะเค้าทำตัวทุเรศมาก ผู้หญิงก็ยังไม่เว้น ดิฉันโดนเค้าด่าอย่าง รุนแรง และใช้คำ หยาบคายกว่านี้ หลายเท่าค่ะ รวมไปถึง มุสลิมคนอื่นๆด้วย ต้องขอภัยทุกท่านด้วยค่ะ โดยเฉพาะ คุณ พี่จิม ที่เคารพด้วยค่ะ จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 07:01:43

ความคิดเห็นที่ 58 คุณ ยอง ครับ ขอบคุณมากครับ ท่านคิดถุกแล้วละครับ ที่คุยกันหลังไมค์ เมือ่ก่อนตอนที่ผมปุจฉาวิสัชนา กับอาจารย์ที่เป็นพระสงฆ์ องค์เจ้า ท่านจะคุยกันปิดกุฏิ สนทนาธรรมกัน เพราะบางเรื่องเป็นเรื่องละเอียดอ่น  เรื่องบางเรื่องเกินกว่าสติปัญญา ที่คนทั่วไปถ้าไม่ได้ติดตามอย่างใกล้ชิด จะไม่สามารถจบประเด้นในเชิงสร้างสรรค์ได้ การถกเรื่องศาสนาในประเด็นที่ต้อง ก้าวล่วงไปถึงความเชื่อของอีกฝ่าย ต้องปิดบ้านคุยกัน เหมือนเพื่อนรักกัน กอดคอคุยกัน ไปคุยเสียงดังให้มีกองเชียร์ เด๊๋ยวก็ต่อยกันปากแตกเท่านั้น ขอคาราวะด้วยจิตบริสุทธ์ พี่จิม แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 55 07:36:57 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 07:03:40

ความคิดเห็นที่ 59 คุณลันตา  ขอบคุณมากครับ ไม่เป็นไรครับ  คนพรรณนี้ อีกหน่อยก็แพ้ภัยตนเอง ถ้าไม่หยุดพฤติกรรมขีดเขียนโดยขาดความสำนึกรับผิดชอบใดๆ  กล่าวหาคนลอย  หมิ่นประมาท คนอื่นไปทั่ว  พรบ  คอมพิวเตอร์มี นะ เช้คได้ตามได้ ว่าอยู่หนไหน ถ้าผมอยากได้เงินใช้ จากคำผรุสสวาท จากคนแบบนี้ในเวบแห่งนี้ผมได้เงินใช้หลายตังค์แล้วครับ ด้วยความเคารพ พี่จิม จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 07:06:55

ความคิดเห็นที่ 60 ห้องนี้คือห้องศาสนา เข้าใจถูกต้อง ด้วยการเป็นที่เป็นห้องศาสนา ยิ่งต้องสำรวมให้มาก ศาสนาทุกศาสนาในโลกนี้คือต้นแบบของจริยธรรม และความดีงาม ความให้อภัยกัน แก่กิจกรรมต่างๆในโลกใบนี้ ถ้ามีห้องศาสนาไว้ทะเลาะกัน ก็ไม่สมควรมี ถ้ามีห้องศาสนาไว้ แลกเปลี่ยนวิถีคิดในเชิงสร้างสรรค์ ก็เห็นชอบด้วยที่จะมีต่อไป แต่ที่เข้ามาในห้องศาสนาแห่งนี้ไม่น้อยกว่า 4 ปี ส่วนใหญ่ก็น่ารัก ศาสนาใคร ก้ศาสนาของผู้นั้นไถ่ถามกัน ในข้อบทบัญญัติที่ตนเองนับถือ แต่บางคนทำตัว บอกว่าเป็นผู้รู้ ผู้ชอบแล้วในธรรม ก็ยังชอบไปแส่หาเรื่องในศาสนาของผู้อื่น   ศาสนาทุกศาสนามีไว้จรรโลงโลก ไม่ได้เพื่อทำลายล้างกัน ใครคิดผิดก็คิดใหม่ได้แล้วนะครับ พี่จิม จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 07:35:32

ความคิดเห็นที่ 61 ผมใคร่เรียนเพื่อนต่างศานิก ที่สนใจในศาสนาอิสลาม และพยายามหาความรู้จากคัมภีร์ภาษาไทย หรือภาษาอื่นๆในโลกนี้ไม่เว้นแม้แต่ภาษาอาหรับ ท่านต้องเรียนจากคัมภีร์ลูก ผสมผสานกันไป การเรียนอิสลาม ต้องเรียนในสถาบันปิด หรือเรียนกันในห้องเรียนในชั้นเรียนเท่านั้น ไม่สามารถเรียนได้ตนเอง คำว่าคัมภีร์กรุอาน คือคัมภีร์ที่ไม่ได้รับการแปลเป็นภาษาใดๆ  คัมภัร์กรุอานไม่สามารถแปลเป็นภาษาอื่นใดในโลกนี้ได้ นอกจากการให้ความหมายเท่านั้น ภาษาในอัลกรุอาน คือภาษาสวรรค์ยากยิ่งที่มนุษย์ปุถุชน จะหยั่งรู้ให้รู้ได้ทั้งหมดภายในชั่วชีวิตคน แม้กระทั่ง -ท่านที่เกิดมาในตระกูลผู้ทรงศีลในศาสนาอิสลาม -แม้กระทั่งผู้ที่สามารถท่องจำกรุอานได้ทั้งเล่มก็ตาม   -ผู้ที่เชี่ยวชาญภาษาอาหรับก็ตาม ก็หลีกหนีกฎข้อนี้ไปไม่ได้ เพื่อนต่างศาสนิก ที่อ้างตัวว่ารู้ศาสนาอิสลาม โดยการเรียน และทำความเข้าใจจากฉบับที่อ้างว่าแปลมา ใช้เวลาเรียนไม่กี่ปี ผมเลยขอบอกว่า ท่านไม่ได้รู้อย่างแท้จริงจากกระพี้ของอิสลาม อิสลามมิกชน ใช้เวลาเรียนกรุอาน มาเป็นเวลานาน มากกว่า 1400 ปียังไม่รู้ทั้งหมด คัมภีร์อัลกรุอานทุกตัวอักษร ได้สอนและบอกเรื่องราวทั้งหมดในโลกใบนี้ เพราะฉะนั้นท่านที่นับถือศาสนิกอื่น มีสิทธ์ฟังและซักถามเท่านั้น แต่ไม่มีสิทธ์อ้างว่าเป้นผู้รู้ มาตัดสินระบบคิดของอิสลาม ด้วยเหตุที่ว่า  ต้นคิดมันบิดเบี้ยว แล้วจะได้อะไรกับความจริง ด้วยความเคารพ แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 55 09:12:08 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 07:50:03

ความคิดเห็นที่ 62 สำหรับท่านที่บอกว่าอิญาบ ไม่มีในบทบัญญัติอิสลาม ไม่มีในคัมภีร์กรุอาน แสดงว่าท่านผู้นั้นอ่านไม่ครบถ้วน หรือไปอ่านเล่มปลอมมา ย้ำคัมภีร์กรุอานของแท้จะบอกทุกเรื่องราวของโลกใบนี้ครับ พี่จิม จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 07:54:20

ความคิดเห็นที่ 63 ขออนุญาต นะคะ ถึงคุณพี่จิมค่ะ ดิฉันขอลบความเห็น ใน คห. 55 ออกไปค่ะ เพื่อเป็นฝ่าย ยอมถอยห่าง และ หลีกหนี การโต้ตอบในเชิง ด่าทอ กับ Login กรองคำ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ค่ะ และถ้าเป็นไปได้ ก็อยากให้ Login กรองคำ หยุดพฤติกรรม  ในประเด็นที่ไม่ควรแก่สาระอันใด ต่อพี่น้องมุสลิมด้วย เพราะถ้าไม่หยุดการกระทำดังกล่าว มันก็จะมีการโต้ตอบที่ไม่สร้างสรรค์ เกิดขึ้นในเวปบอร์ด ห้องศาสนาแห่งนี้ ต่อไปเรื่อยๆค่ะ เมื่อไม่มีคนเริ่มก่อเหตุ ผลย่อมไม่มีตามแน่นอน ดิฉันอยากให้กระดานสนทนาธรรม แห่งนี้ มีแต่สิ่งดีดี ของแต่ละศาสนา ค่ะ ...... แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 55 08:10:21 แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 55 08:03:44 จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 08:02:26

ความคิดเห็นที่ 64 คุณลันตา ขอบคุณครับ ที่รักษามารยาทในการขีดเขียน ในชีวิตผมไม่เคยลบ คห  ของใครออกจากงานเขียน และก็ไม่ลบ คห ของตนเองออกไปด้วย ไม่ว่า คห นั้นจะติจะด่าผมร้ายแรงเพียงใด เพราะผมถือว่าคำพูดของคน มันลอยๆ  แต่ตัวอักษร  คือหลักฐาน ที่บ่งชัด ถึงระบบคิด และการอบรมของครอบครัวของเขาเหล่านั้นเป้นเช่นไร กรองคำ  เค้ามีคาแรคเตอร์ในการด่าปรักปรำ กล่าวร้ายท่านผู้อื่นเป็นอาจินต์ ทำจนเป็นนิสัย  ซึ่งผมไม่เอามาเป้นอารมย์อะไร สิ่งที่เค้าทำอาจเป็นสิทธ์ที่ชอบธรรมในความคิดของเค้าหรือเปล่าก็ไม่อาจรู้ได้ แต่สิ่งที่กรองคำทำอยู่ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากรองคำ สอนหรือตำหนิตนเองบ้างหรือไม่ ไม่มีใครไปก้าวร้าว กรองคำก่อน ไม่มีใครไปด่ากรองคำก่อน แต่สิ่งที่เค้าทำ... กระทำต่อผู้อื่นก่อน เสมอ เพราะฉะนั้นจะไปเอาอารมย์ และเสวนาด้วย ก็ป่วยการกับคนที่ ติดกับดัก ความคิดตนเองนั้นแหละครับ แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 55 09:02:01 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 09:00:34

ความคิดเห็นที่ 65 กรณีที่เพศบรรพชิต  ออกมา เปิดเผยแผนบันได้ กี่ขั้นสารพัดขั้นในการยึดครองประเทศไทยนั้น ผมดูและอ่านมาจนเบื่อแล้วตั้งแต่หลัง ปว 2549 หาสาระและความจริงไม่ได้ อย่างแรกที่เห็คือจดหมาย อ้างมาว่าเป็นกลุ่มปลดปล่อยปัตตานี เขียนจากคำแปลภาษายาวี แปลให้ฟังเป็นภาษาไทย ผมพอมีความรู้เรื่องภาษายาวีอยู่บ้างเพราะเรียนจากคัมภีร์ลูก ของอิสลาม และไปถามผู้รู้ให้ช่วยแปลให้ แปลไปแปลมา ผมไม่อาจบอกว่าแปลมั่ว แต่คำลงท้ายจดหมายฉบับนั้น คำลงท้ายลงว่า *********   อาเมน  ********** ย้ำ***********  อาเมน********* ผมเชื่อว่ามีพี่น้องหลายคนเก้บจดหมายฉบับนี้เอาไว้ รบกวนเอามาฉายซ้ำอีกที ผมจะบอกได้ว่ามีจุดไหน ที่ไม่เป้นความจริงในจดหมาย และจุดไหนคือข้อบ่งชี้ ถึงความสัพเพร่าในการออกจดหมาย เสี้ยม ต้องขออภัยเพื่อนคริสต์ด้วยนะครับ ผมไม่ได้มีเจตนาว่าคนคริสต์เป็นคนเขียนขึ้นมา แต่ผมกำลังชี้ให้เห็นว่า มีคนบางกลุ่มบางพวก  กำลังเสี้ยม ให้  พุทธ  มุสลิม และคริสต์  แตกแยกกัน เหมือนพวกทำตัวเป็นวัสการพราหมณ์ อย่างที่สอง เรื่องที่บอกว่าจะให้มีมัสยิดทุกตำบล ทุกอำเภอ ทุกจังหวัด นั้นก้คือคำกล่าวอ้างในจดหมาย ฉบับที่ผมกล่าวมาในข้างต้นนั้นแหละ โดยหลักการ การสร้างศาสนสถานไม่ว่าศาสนาใด  ชุมชน ต้องมาก่อน เสมอ มีชุมชนถึงรวมเงินกันสร้างศาสนสถาน เมื่อไม่มีชุมชน จะไปสร้างทำไม มีศาสนสถานแต่ไม่มีคนเข้า แล้วมีไปทำไม อิสลาม มีข้อบ่งชัดเรื่องศาสนสถานว่า การประกอบศาสนกิจนั้น และการประกอบการละหมาดวันศุกร์ จะสมบูรณ์ต้องมี ผู้ประกอบศาสนกิจ และสัปบุรุษไม่น้อยกว่า 40 คนเพราะฉะนั้นเมื่อไม่มีชุมชนไม่มีผู้ประกอบศาสนกิจ ถึงจำนวน ศาสนสถานแห่งนั้นจะไม่ถือว่าเป้นมัสยิด เป็นได้แค่เพียงสถานที่ปฏิบัติธรรมของอิสลามเท่านั้น หรือแม้กระทั่ง การสร้างมัสยิดหรือมัสยิด ที่เกิดมาใหม่ ต้องมีเสียงเรียกคนให้ละหมาดไม่ซ้อนกัน กับมัสยิดที่ได้สร้างมาแล้ว ด้วยเสียงของผู้ประกาศ ไม่ใช่ด้วยเครืองขยายเสียง เพราะฉะนั้นจึงเป้นไปไม่ได้ที่มัสยิดจะมีทุกหมู่บ้าน ทุกชุมชน ทุกตำบล อำเภอ และจังหวัด เว้นแต่สถานที่ตรงนั้นมีมุสลิม อาศัยอยู่และปฏืบัติศาสนกิจโดยพร้อมเพรียงกันไม่น้อยกว่า 40คนนั้นแหละครับ พอมีคนเล่นประเด้นนี้ไปไม่รอด ก็ไม่รู้จะหาประเด้นไหนมาอีก ก็มาปล่อยข่าวเรื่องการตรากฎหมายฮัจย์ ว่าให้รัฐอุดหนุนกิจการฮัจย์หัวละ 120000 (หนึ่งแสนสองหมื่นบาท) ผมใคร่ถามพี่น้องมุสลิม ทุกท่านและช่วยยืนยันด้วยว่า มีท่านผู้ใดได้รับเงินอุดหนุน จากคำกล่าวอ้างเรื่อง ทำฮัจย์บ้างไหม ทุกอย่างคือแผนบันไดถุกต้อง แต่ไม่ได้ทำลายล้างเพื่อนพุทธ เพื่อนมุสลิม เพื่อนคริสต์ หรือเพื่อนศาสนอื่นๆ แต่นี่คือแผนขั้นบันได ในการทำลายล้างคนไทยทั้งชาต ให้ขาดความรักสามัคคีกัน บ่อนทำลายความมั่นคงของชาติไทย ไปๆ มาๆ การฉะนี้ อาจเป็นไปได้ ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เอาข่าวเสนอต่อๆไป เฉกเช่น เรื่อง เด็กชาย ปลาบู่ ด้วยความเคารพ พี่จิม แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 55 09:49:18 แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 55 09:46:39 แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 55 09:42:15 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 09:39:17

ความคิดเห็นที่ 66 ผมใคร่แนะนำสำหรับเพื่อนๆในห้องศาสนา ว่าการที่จะให้ความเห้นเกี่ยวกับเรื่องศาสนาที่ตนเองนับถือ โดยเป็นแนวทางที่แหกออกไป หรือเป็นการกล่าวร้าย หรือเป็นการโต้แย้งในศาสนาอื่นๆ  กรุณาปฏิญานตนเองและแจ้งสถานะตนเองว่านับถือศาสนาใด ถามว่าทำไมต้องทำอย่างนั้น ตอบเพื่อเป็นการป้องกันพวกสมอ้างว่าฉันคือ อิสลาม  ว่าฉันคือพุทธ ว่าฉันคือคริสต์ ซึ่งมีเพื่อนหลายท่านมีความเป็นแมน และความเป้นสุภาพสตรี ได้บอกก่อนว่า ตนเองนับถือศาสนาใด อันนี้ผมขอคาราวะและนับถือในความเด้ดเดี่ยวของท่าน เรื่องศาสนา ในสังคมโลก มีคนชอบกล่าวอ้างกันมั่วๆ โดยขาดการรับผิดชอบต่อคำกล่าวอ้างของตนเอง รังแต่จะสร้างปัญหาความร้าวฉานและความเข้าใจผิดต่อศาสนาที่ต้องอยู่ร่วมกันบนโลกใบนี้ ด้วยความเคารพ พี่จิม แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 55 09:59:07 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 09:58:09

ความคิดเห็นที่ 67 ส่วนคนที่บอกผมว่าเกียรติ นั้นต้องสร้างด้วยตนเอง นั้น ถุกต้องแล้วครับ อย่างแรกในการสร้างเกียรติ ให้ตนเองคือการสร้างเกียรติ ให้คนอื่นเป้นอันดับแรก อยากได้เกียตริต้องให้เกียตริก่อน อยากได้รักจงให้รักก่อน อยากได้ความเห้นใจ จงให้ความเห็นใจก่อน อยากได้อะไรก็แล้วแต่ในโลก จงเป้นผู้ให้ก่อน หลักนี้คือสัจธรรมบนโลกใบนี้ มิใช่อยากได้อะไร คุณก็เอามาให้ฉันก่อน หรือด่าคนอื่นก่อน จะถุกต้องไหมละครับ พี่จิม แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 55 10:05:38 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 10:03:37

ความคิดเห็นที่ 68 ผมคิดจะตั้งกระทู้แนวนี้มาตั้งแต่ช่วงต้นเดือนธันวา แต่เนื่องจากเพิ่งย้ายมาอยู่กรุงจาการ์ตา เลยยุ่งๆ ที่ทำงานดันไม่มีคีย์บอร์ดภาษาไทย ที่บ้านก็เพิ่งติดตั้งอินเตอร์เน็ต วันนี้แกล้งป่วย ขอนายทำงานที่บ้านเลยมีโอกาสได้แสดงความคิดเห็น ยังไงก็ต้องขอบคุณพี่จิมมากครับที่ตั้งกระทู้นี้ กับคำว่าแขก ที่ไม่มีใครอธิบายได้ว่าตกลงมันแปลว่าอะไร ที่จริงผมไม่ได้มีความรู้สึกแย่อะไรมากมายกับคำว่าแขกครับ เพราะ ด้วยความเคารพน่ะครับพี่จิม พวกเรายังเรียกพวกเรากันเองว่า คนแขกเลยครับ เวลาไปเรียนศาสนาก็ไปเรียนหนังสือแขก ผมเกิดในสามจังหวัดภาคใต้ เรียนโรงเรียนปอเนาะ จบมหาวิทยาลัยบ้านนอกในสามจังหวัดภาคใต้ ดังนั้น ผมจึงไม่ได้ถูกกระทบ กระทั่งกับคำว่าแขก จนกระทั่งต้องย้ายมาทำงานในกรุงเทพ กลายเป็นว่าเราถูกแบ่งกลุ่มไปอยู่กลุ่มเดียวกับอาบังขายผ้าซะงั้น ทั้งๆที่หน้าตาเราก็หน้ามลายูชัดๆ พยายามอธิบายเท่าไหร่ ก็ไม่เข้าใจซะที มีครั้งหนึ่ง จัดงานเลี้ยงบริษัท เจ้านายใจดีบอกสั่งอาหารแขกมาให้เฉพาะเลย ข้าวหมกไก่กับซุปหางวัว แต่ดันเป็นข้าวหมกไก่ ซุปหางวัวของร้านไทยพุทธซะงั้น ผมใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพแปดปีเต็ม ก็พยายามเต็มที่ในการอธิบาย ทำความเข้าใจกับเพื่อนฝูงคนรอบข้าง น้อยคนที่จะเข้าใจ บางคนก็แกล้งเป็นเข้าใจบ้าง บางคนไม่เอาอะไรเลย เวลาแข่งกีฬาซีเกมส์ เพื่อนหลายคนเขาไม่เชื่อว่าผมเชียร์ทีมชาติไทย เขาคิดว่าผมเชียร์ทีมชาติมาเลเซีย น่าขันสิ้นดี หลังๆเริ่มเซ็ง ไม่อยากจะอธิบายอะไรมากแล้ว ผมว่าการศึกษาไทยมีปัญหา โดยเฉพาะวิชาสังคมศาสตร์ คนส่วนใหญ่แยกแยะไม่ได้ว่าอะไร คือชนชาติ เชื้อชาติ และศาสนา ทั้งๆที่ทุกคนได้เรียนเรื่องนี้กันหมด แต่ความเข้าใจของคนในชาติกลับผิดหมด ผมถูกกล่าวหาว่าไม่รักชาติ เมื่อผมประกาศว่าผมเป็นคนมลายู ทั้งๆที่คนกล่าวหาว่าผมไม่รักชาติก็เป็นอาตี๋ตาตี่ๆที่ลืมว่าบรรพบุรุษของตัวเองมาจากประเทศจีน หลายคนรับไม่ได้ เมื่อผมพูดถึงประวัติศาสตร์ปัตตานี กล่าวหาว่าผมเป็นพวกแบ่งแยกดินแดน ไม่รู้จะอ่อนไหวอะไรกันนักหนากับเรื่องพวกนี้ พูดความจริงหน่อย ทำเป็นรับไม่ได้ เวลามีการเรี่ยไร เพื่อทำบุญสร้างวัด สร้างวา ผมถูกกล่าวหาว่ามุสลิมใจแคบ ไม่ช่วยคนต่างศาสนา แต่ตอนที่ผมทำบุญบริจาคให้เด็กกำพร้า สร้างโรงเรียน สร้างห้องสมุด ช่วยน้ำท่วม กลับไม่มีใครมอง ไม่รู้จะบ่นอะไรต่อ เอาเป็นว่านี่เป็นหนึ่งความเห็นของคนมลายู เลือดมลายูร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่มีสัญชาติไทย และรักชาติไทยอย่างเต็มเปี่ยม จากคุณ : bear_moung เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 10:57:54

ความคิดเห็นที่ 69 เรื่องมุสลิมจีน เมื่อเดือนพ.ย.ที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปประชุมกับลูกค้าที่เมืองกว่างโจว และได้มีโอกาสไปละหมาดวันศุกร์ที่มัสยิดแห่งหนึ่งแถวBeijing Lu เป็นมัสยิดเก่าแก่ ที่สร้างขึ้นในช่วงMing Dynasty กว่าจะหามัสยิดเจอ เกือบไม่ทันละหมาด พี่แกเล่นใช้ภาษาจีนล้วน ภาษาอังกฤษสักคำก็ไม่มีให้เห็น ดีที่ไปเจอพี่แอฟริกัน เลยเดินตามพี่ๆแกไป สุดท้ายก็เจอ พี่น้องมุสลิมท่านไหน ได้มีโอกาสไปเดินเล่นแถวBeijing Lu แวะไปละหมาดได้น่ะครับ แถวนั้นมีร้านอาหารอิสลาม ราคาย่อมเยา บะหมี่ชามโต ราคา 10 หยวน จากคุณ : bear_moung เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 11:07:07

ความคิดเห็นที่ 70 ผมว่าต้นๆ กระทู้ดีนะครับ แต่เนื้อหา ดันกลายไปซะแร้วววว เอาใจช่วย จขกท. อย่าหวั่นไหว ยังไงก็อย่าเอาความโกรธ ลืมปณิธานของตัวเอง อย่าเอาโทสะ บดบังปัญญา นะครับ จากคุณ : Nirvanastream.com (สวรรค์รำไร) เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 11:11:22

ความคิดเห็นที่ 71 อ๊ะ กระทู้เดี๋ยง ซะงั้น T.T จากคุณ : สวรรค์รำไร เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 11:21:28

ความคิดเห็นที่ 72 ท่าน คห 70-71 ขอบคุณครับที่ตามติด ผมตั้งใจให้เป็นกระทู้มาม่า อยู่แล้วครับ ผมจึงใช้การแตกประเด้น จากกระทู้ของคุณลันตาไงครับ ขอบคุณอีกเรื่องที่เตือนสติผมอย่าใช้โทสะมาบดบังปัญญา ขอบคุณครับ ผมยอมรับบางครั้งก็เบรคแตกไปบ้างขออภัยนะครับ กระทู้ไม่ได้กลาย ไปไหน ยังคงอยู่ครบถ้วน  หัวใจของกระทู้คือ -ต้องการบอกกับพี่น้องคนไทยว่า  เราต้องรักกัน -ต้องการบอกกับพี่น้องผองไทย ว่า ไม่ว่าเกิดภาคไหนๆ ศาสนาใด ๆก็ไทยด้วยกัน -ต้องการตอก ย้ำๆๆ  กับเพื่อนบางท่าน ที่อธิบายยากเย็นแสนเข็ญ ไม่ยอมรับว่า มุสลิม ในไทยคือคนไทย -ต้องการบอกคนบางคน ให้เคารพ ความศรัทธา ในศาสนาของผู้อื่น -ต้องการบอกคนบางคนว่า ในสังคมโลกใบนี้ มีพวก ชอบเสี้ยมมาปะปนอยู่ -ต้องการบอกว่าศาสนาอิสลาม นั้นคือศาสนาของประชาคมโลก ไม่ใช่ศาสนาของอาหรับ นี่ละครับหัวใจหลักๆ ของกระทู้อันนี้ ถ้าตามงานเขียนของผมมาตลอดจะทราบถึงลักษณะการสื่อสารของผมคือ การสื่อสารสองทาง ผมจะทิ้งปมให้คิดตาม ไว้ตลอด และมีความนัยยะบอกตลอดเวลา เพยงแต่จะขบคิดแตกหรือไม่ รูปแบบของผม นิยม และเป็นลัทธิ แก่นนิยม ไม่ใช่ ลัทธิเปลือกนิยม เพราะฉะนั้นเพื่อนๆที่เคารพทุกท่าน ต้องพยายามหาแก่นของงานเขียนผมตามไปด้วย จะทำให้การอ่านนั้นมีสาระและอรรถรส เจือปนไปด้วยครับ ผมเองไม่ชอบออกมา เปิดตัวเท่าไหร่นัก แต่จะออกมาช่วงวิกฤต เท่านั้น ชอบ อ่าน ชอบฟังมากกว่าชอบพูด ด้วยความเคารพครับท่านทั้งสอง พี่จิม แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 55 12:29:57 แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 55 11:45:50 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 11:40:35

ความคิดเห็นที่ 73 อัซซาลามมุอาลัยกุม ครับท่าน คห 69 ดีใจเป้นอย่างยิ่งพอได้ทราบว่าเคยไปอยู่อินโด และไปประเทศจีนมาก่อน ผมเคยได้ไปจาร์การ์ต้า 2-3 ครั้ง เพราะน้องสาว และน้องเขย เรียนหนังสือและทำงานในอินโด ได้ 20ปี กระมัง สถานที่ บรมพุทธโธ ในอินโด กับการผสมผสานทางวัฒนธรรม สิ่งเหล่านี้ัอยากให้ท่านช่วย มาเล่าสู๋กันฟัง ว่าเป็นเช่นไร การที่ท่านเดินทางไปมัสยิดในประเทศจีน หลงตั้งนาน อย่าว่าแต่ประเทศจีนเลยครับ ผมนะน่าอายที่สุด ที่เชียงใหม่นี่แหละ มัสยิดตรงกันข้ามไนท์บาร์ซ่า นี่แหละ  ไปละหมาดวันศุกร์ครั้งแรกที่เชียงใหม่ตอนอายุ สัก15 ปี ผมเดินผ่านหน้ามัสยิดหลายรอบ มองไม่เห็น จนต้องไปถามร้านอาหารมุสลิม (ร้านพี่ผึ้ง)ตรงกันข้ามกับซุ้มประตู มัสยิดว่ามัสยิดอยู่ที่ไหน จะให้ไปทราบได้อย่างไร ซุ้มประตูลักษณะเหมือน เก๋งจีน  แต่ละคนเดินเข้ามัสยิด  หน้าตา บอก ว่าเป็นคนจีน หนวดยาว ตาตี๋ๆๆ นุ่งเสื้อขาว กางเกงขาวกันเป็นแถวๆ เรื่องน่าอายมาก ในวันนั้น พอไปทำการละหมาดที่มัสยิด ดั่งกล่าว การละหมาดวันนั้นผมใช้ไม่ได้เลย เพราะมัวแต่ขำ  สำเนียงการอ่านฟาติหะ ของมุสลิม ฮ้อ เรานั้นแหละครับ มาถึงเรื่องประเทศจีน การเดินทางไปประเทศจีน เรื่องอาหารอิสลาม หาได้ง่ายกว่าเดินหา ร้านอิสลาม ในกทม เสียอีกครับ  ทุกบล้อคของตึก จะมีร้านอาหารอิสลาม อยู่ทั้งนั้น แม้กระทั่งก๋วยเตี๋ยวแคระ เป้นรถเข็นไม้คันเล็กๆๆ ก็ใส่หมวก กะปีเยาะ มาขาย ผมถึงชอบ ไปประเทศจีน และอินเดีย มากๆ หาของกินง่าย ส่วนประเทศที่ไปครั้งเดียว ผมเข็ดเลย คือประเทศเวียดนาม หันไปตรงไหน ก็เจอแต่ บาบี ผมเลยอาศัย จายา และขนมปังเป็นอาหารหลัก ตลอดทริป ไปประเทศญี่ปุ่น ฟูกูโอกะ นาโกยา ก็ กินแต่ปู อลาสก้า กับปลาดิบ จนหน้าผมะเป็นปลาดิบอยู่แล้ว ขอบคุณมากครับ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 11:59:01

ความคิดเห็นที่ 74 เทคนิค ในการไปต่างถิ่นสำหรับผมในการจดจำเรื่องราวต่างๆ  ผมจะไม่นั่งรถใดๆ แต่จะเดินรอบเมือง เดินเป็น 10กิโล ไปเซี่ยงไฮ้ และ เจียซิง ครั้งแรก เดินตั้งแต่ บ่าย 4 โมงเย็นยันถึง 5 ทุ่มนั้นแหละ ฝากอีกนิดนึงนะครับว่า หมั่นโถว ในประเทศจีนอร่อยมาก หมั่นโถวของเค้าคือขนมปัง เช่นเดียวกับภาษามาลายู ที่เรียก ขนมปังว่าโรตี ได้สองนัยยะในเวลาเดียวกัน แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 55 12:04:33 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 12:02:14

ความคิดเห็นที่ 75 ถ้าท่านใดอยากตามติดว่าอาบังเป้นเช่นไร ตามไปดูกระทู้เก่าๆของผมได้ที่ http://www.pantip.com/cafe/news/topic/NE11481259/NE11481259.html ไปอินเดีย ไม่เห้นมีอาบังสักคน ไปอินเดีย ไม่เห้นเจอกล้วยแขกเลย ไปจีน ก้ไม่เคยเห็นขนมจีน ไปอเมริกา ก้ไม่เคยเห็น ข้าวผัดอเมริกัน อุปมาอุปมัย เฉกเช่น ความเข้าใจ อาหารอิสลาม คือ ข้าวหมกไก่ ซุปหางวัว เนื้อสะเตะ ตอนนี้เราได้เห้นหมูสะเตะ อีกไม่นาน คงได้เห็นข้าวหมกหมู ซุปหางหมู เป้นแน่แท้ พี่จิม แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 55 12:21:12 แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 55 12:11:17 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 12:10:00

ความคิดเห็นที่ 76 ในโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ การตัดสินอะไรในโลกนี้แค่ตาเห้น หรือแค่ สัมผัส แล้วคิดว่า ยังมีอะไรมากมายที่ซ่อนเร้นเอาไว้ เพราะฉะนั้นผมไม่สนับสนุน การตีความ คัมภีร์อัลกรุอาน ไม่ว่าจากมุสลิม ด้วยกัน หรือเพื่อนต่างศาสนิก อันไหนที่คงอยู่ดีอยู่แล้ว มีคนตีความแล้วเรายึดถือปฎิบัติกันมา ก้มีบรรพบุรุษของเราที่ตีความเอาไว้ รับผิดชอบแทนตัวเราอยู่แล้ว  ถ้าเราไปตีความสะเองมาเผยแพร่สะเอง คนที่รับผิดชอบ ก้คือตัวเราแถมพ่วงด้วยคนที่เดินตามตัวเราไปด้วย ถ้าตีความถูกก็ดีไป แต่ถ้าตีความผิด คงแบกรับความผิดแทนคนที่เดินตามด้วยไม่ไหว ประเด้นของผมกำลังบอกเพื่อนๆทุกท่านว่า ***ความเชื่อและความศรัทธาของใคร ก็เป็นของใคร อย่าไปล่วงละเมิดของผู้อื่น*** เพราะรังแต่จะสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นกับตัวเราเองและสังคม ขออัลเลาะห์ทรงโปรดให้พลังแก่กระผมและเพื่อนมนุษย์ทุกท่านในการประกอบการดีทั้งปวง อามีน พี่จิม แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 55 12:20:05 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 12:18:49

ความคิดเห็นที่ 77 มาถึงเรื่องอาบังกับโสร่ง กัน อย่างที่เคยบอก ผมอาศัยอยู่ถนนข้าวสารมีบ้านหลังนี้มาตั้งแต่สร้างกทม ผมอยู่ท่ามกลาง เพื่อนต่างศาสนิกมาตลอด ตอนเด็กๆยันจนวัยรุ่น จะออกไปข้างนอกที ต้องรีบเปลี่ยนโสร่ง เพราะเวลาเดินออกไป พวกจะมองเราเป้นตัวตลก  เพื่อนบางคนเดินมากระตุกโสร่งที่เรานุ่ง พี่น้องสตรี คลุมอิญาบ บนหัวก็มองเป้นตัวประหลาด ผมถามแม่ว่า ทำไมมุสลิม สตรี ของเราถึงไม่คลุมอิญาบ แม่บอกว่า ขืนคลุม ก็โดนตำรวจจับ  อย่าว่าแต่คลุมอิญาบ เลย เคี้ยวหมาก ยังโดนจับเลย อ้าวทำไมกลายเป้นเช่นนั้น แม่บอกว่า สมัยจอมพล ปอ ที่คนชื่นชมกันนักเป็นนักปฎิวัติ วัฒนธรรมสู่ ชนอารยะสากล สั่งห้ามแม้นสิ่งที่เป็นวัฒนธรรมไทย ต้องใส่เสื้อราชปะแตน ต้องสวมหมวก ต้องถือร่ม มุสลิม ในช่วงนั้นเลยถุกแบนโดย ความบ้าของคนบางคน จนมาถึงยุคหลังนี้แหละ ที่ ประเทศไทยเปิดกว้างมากขึ้น ในสังคมโลก ประเทศไทยแต่ก่อน เมื่อไปบอกคนต่างชาติ ว่าประเทศไทย เค้าไม่รู้จัก เค้ารู้จักแต่คำว่า สยาม หรือ เซียม เท่านั้น เปิดกว้างให้สิทธิเสรีภาพ ในการแสดงออกซึ่งสัญญลักษณ์ ทางความเชื่อตามศาสนาที่กฎหมายรับรอง มุสลิมเลยได้มีโอกาสได้ สวมใส่ เครืองแต่งกายมุสลิม นิยม ผมเป็นคนนุ่งโสร่งไม่ติด นุ่งไม่เป็นว่างั้นเถอะ กว่าจะทราบว่า ตูดโสร่ง เป้นอย่างไร ก้อายุปาไป 20 กว่าปี ผมกลับไปเยี่ยมญาติทาง ตา  ย่านนนทบุรี ทาอิฐ บางบัวทอง เพื่อนๆญาติ ตำหนิผมว่าไม่นุ่งโสร่ง จะเป็นพวกต่างศาสนา ไม่รักษาวัฒนธรรม ผมก็เถียงจนเอ็นขึ้นคอ พาลโดนตบกบาลไปด้วย ผมเถียงว่า ผมเห็นคนไทยเราก็นุ่งโสร่ง เวลาไปเยี่ยม คุณปู่ ซึ่งเป็นพุทธ เห็นปู่ก้นุ่งโสร่ง คนงานก่อสร้างของคุณพ่อผม เป็นคนอีสานท่อนเหนือและกลาง ก็นุ่งโสร่ง คนอีสานใต้ ก็นุ่งโสร่ง เรียนประวัติศาสตร์ดุหนังผู้ชนะสิบทิศ ก้นุ่งโสร่ง ผมก็เลยถามญาติที่ตำหนิผมว่าตกลง คนนุ่งโสร่งคืออิสลามหรอ ตามที่เรียนมา การแต่งกายตามรูปแบบหรือศาสนบัญญัติบอกว่า ต้องปิด เอารัต คือ เหนือสะดือ และต่ำเข่า และเปิดใบหน้ากับฝ่ามือเท่านั้น สำหรับสตรี ผมไปละหมาดวันศุกร์เจอมุสลิม อาหรับ และอินเดีย เห้นเค้าใส่กางเกง ขาว ยาว ไม่เห้นนุ่งโสร่ง พอโตขึ้นมา ก็มานั่งคิด ตรึกตรอง  เลยได้คำตอบว่า การแต่งกายคือวัฒนธรรมท้องถิ่นไม่ใช่ศาสนา แต่การแต่งกายตามหลักการศาสนา คือข้อบังคับว่าขอบเขตตรงไหน เท่านั้นเอง ผมเป็นลุกศิษย์ ท่านจุฬาต่วน ผมถามครู  ผมเรียกท่านว่าครู ครูครับผมเอาผ้าห่ม พัน ตัวแล้วละหมาด ใช้ได้ไหมครับ ท่านตอบว่าใช้ได้สิ แต่ไม่เรียบร้อย การที่เราจะเข้าเฝ้าองค์พระผู้เป้นเจ้า แต่งตัวเป็นคนบ้า  เค้าเรียกว่าไม่ให้เกียตริต่อศาสนาตนเองและไม่ให้เกียตริต่อองค์พระผู้เป้นเจ้า มันสมควรไหมละ พออายุ 30 กว่าๆไปส่งลูกค้าต่างชาต ที่ ฮอลลี่วู้ด รัชดา เหอๆๆๆ  เจอเด็กแดนซ์ ใสโสร่งมาเป้นก้วนเลย มาเที่ยวเทค ผมถามว่าไอ้น้องเป้นอิสลามหรอ เด้กมันงง มันบอกว่าอิสลามไรพี่เดวผมก็มาวแระ จากงานเขียนปลาทู  ของผม ลูกค้าสตรีขาประจำรายนึง ทำผมหน้าแหก ใส่หมวกไหมพรม แบบอิสลามใส่ ข้างในอิญาบ มาซื้อกันเป้นเดือน ผมก้ให้ สลามตลอด เธอก้ยิ้มๆให้ วันนึงมีงานสุเหร่า ผมชวนเค้าไป เค้าบอกว่าไปไม่ได้ ผมถามต่อทำไมละครับ เค้าตอบว่าเค้าไม่ได้เป็นอิสลาม อ้าว หน้าแหกเลยเรา ผมถามต่อแล้วใส่หมวกแบบนี้ทำไม เค้าบอกว่า เค้าทำอาหารขายนักเรียน คลุมผมไว้ไม่ให้ผมร่วงและกลิ่นติดผม สรุป การแต่งกาย โสร่ง จะอาบังหรือไม่อาบัง จะอิสลามหรือไม่อิสลาม อยากนุ่งก็นุ่งไปเหอะ ไม่เกี่ยวกัน การใส่อิญาบคลุมผม ตามขอบเขตที่ศาสนากำหนด  กับการคลุมผม แบบหมวกคลุมผม ของอิสลาม มันคนละเรื่องกันเลย ด้วยความเคารพ พี่จิม แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 55 13:57:27 แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 55 13:34:20 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 13:32:29

ความคิดเห็นที่ 78 มาถึงเรื่อง อาบังกับถั่ว ใครๆก็ทราบดี ว่าถั่วอาบังใส่โตะเก้าอี้ไม้ทูนบนหัว นะอร่อยเหาะ ถั่วคั่วใส่ถุง5 บาทตามร้านของชำไม่ได้เรื่อง จากงานเขียนของผมเรื่องแทกซี่อีกนั้นแหละ ผมถึงได้ถึงบางอ้อ เพราะรับอาบังขายถั่ว ไปส่งที่ข้างโรงเรียนสตรีวิทย์ ใกล้ๆกับสะพานวันชาติ เหอๆๆ  อาบังลบล้างทฤษฎีของผมหมดเลย อาบังไปรับถั่วคั่ว จากร้าน อาตี๋ ที่นั้น คั่วเป็นกระทะใหญ่ๆ จำคลับคล้ายคลับคราว่า กิโล ละ 30บาท ประมาณนั้น ตกลงถั่วอาบังที่ว่าอร่อยเหาะ กลายเป้นถั่ว อาตี๋ สะแล้วพี่น้อง อาบังขายถั่ว จะเป้นฮินดู อาบัง ขายโรตี คือพม่า บังคลาเทศ และโรฮิงยา ไม่ใช่อินเดีย เป็นมุสลิม นะครับ ส่วนบังในพี่น้องมุสลิม เชื้อสายมาลายู คือแปลว่าพี่  แต่ถ้ามุสลิม สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เรียกว่า อาแบ แปลว่าพี่เช่นกัน แต่ที่ครอบครัวผม  จะใช้การเรียก พี่ น้อง แก ฉัน ป๋าแม่ ลุงป้าน้าอา  ปู่ย่า ตายาย ไม่ได้เรียกแบบมาลายู แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 55 14:15:14 แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 55 13:53:36 แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 55 13:52:20 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 13:49:58

ความคิดเห็นที่ 79 ^ เข้ามาขำ เรื่อง อาบังขายถั่ว อ่ะค่ะ คุณพี่จิม แถมยังได้สาระความรู้เพิ่มขึ้นด้วยค่ะ ได้รู้ในบางเรื่องที่ตัวเองไม่เคยรู้มาก่อน ขอบคุณ คุณพี่จิมมากๆค่ะ จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 14:46:46

ความคิดเห็นที่ 80 เรื่องอาบัง  เรื่องโสร่ง เรื่องถั่ว  คือเรื่องเดียวกันนะคุณ ลันตา หัวใจของเรื่องนี้บอกว่า ***บนสายตาอันดีเยี่ยม มองไกลได้ถึงพันลี้ เห้นภูเขาตระหง่านข้างหน้า แต่ท่านไม่อาจรู้ด้วยว่าหลังภุเขาลูกนั้นเป็นเช่นไร***** จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 15:52:49

ความคิดเห็นที่ 81 มาเบรคโฆษณากันหน่อยนะครับ พี่จิม มีวีดีโอส่วนตัวเอามาให้ชมกัน ขำๆๆ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 16:28:39