ความคิดเห็นที่ 1 สมัยเรียนนี่ตรงข้ามเลย     เรียนไปๆครูเอาแต่สั่งงาน   สั่งนู่นสั่งนี่     เข้ามาครั้งหนึ่งสั่งงาน1ชิ้น      พอทำไม่ไหวไม่ทันครูก็ยกเอา   ร.    มผ     0   มาขู่    ต้องทำให้เสร็จส่งให้ได้       แล้วครูเข้าสอนอาทิตย์ละ3-4ครั้ง     งานก็มากตาม      มันดีต่อการเรียนจริงอยู่    แต่มันเพิ่มภาระให้เด็กมหาศาลเลย      เลิกเรียน- เสาร์อาทิตย์ก็ต้องมานั่งทำงานส่ง      ไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นเลย ยิ่งตอนประถมยิ่งเจอหนัก    การบ้านวันธรรมดาก็เยอะพอดูแล้ว   ถ้าเป็นวันศุกร์รึวันก่อนวันหยุด    การบ้านจะได้เพิ่มขึ้นอีก2-3เท่า    ด้วยการบอกว่าให้ไปทำวันหยุด จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 19:32:20

ความคิดเห็นที่ 2 น่าจะรีบกลับไปตั้งใจทำวิทยานิพนธ์ให้จบๆ และไปทำงานในที่ๆ ชอบมากกว่านี้เถอะ อย่าไปอะไรมากกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้เลย บ่นไปก็เท่านั้น ปวดสมองเปล่าๆ ปล่อยวางเป็นนโยบายที่ดีที่สุด เชื่อสิ จากคุณ : โจโฉ (joechou) เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 20:24:41

ความคิดเห็นที่ 3 เห็นใจค่ะ  แล้วครูรุ่นใหม่ที่เป็นอนาคตของชาติจะปล่อยให้ระบบมันห่วยอย่างนี้ไปตลอดเหรอคะ ท้าให้คิดค่ะ จากคุณ : mangpongja เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 20:33:37

ความคิดเห็นที่ 4 ดูที่นี่ด้วยครับ..http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K11845365/K11845365.html จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 22:16:51

ความคิดเห็นที่ 5 ใช่ๆ เพื่อนเราจบเกียรตินิยมจากม. แห่งหนึ่งแถวอโศก มุ่งมันจะเป็นครูมากๆๆ สอนได้สองปี ลาออกแล้ว ตัวเราเองก็อยากเป็นครูเลยลองเป็นครูผู้ช่วยชิมลางก่อนเรียนครู ตอนนี้ก็ยังไม่ได้เรียนครูเลย...ยังคิดอยู่ มันเป็นอะไรที่ดราม่าและหนักใจรอบด้านเลยล่ะ เราเลยเอาเวลาว่างๆ สอนพิเศษไป สอนฟรีๆ นีแหละ อย่างน้อยก็ได้ทำในสิ่งที่ชอบ และเด็กที่มาเรียนก็ตั้งใจจะหาความรู้จริงๆ จากคุณ : kiria chalee เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 23:13:10

ความคิดเห็นที่ 6 จริงๆแล้วการทำผลงานเลื่อนขั้นคศ.3 คศ.4 มันดีนะครับ  ถ้าครูได้ทำจริงๆ แต่เท่าที่เห็นน้อยครับ   บางคนได้วิทฐานะแล้วก็ทิ้งกันไปเลย   ครูเด็กๆนี้แหละครับ เหนื่อย ทำทุกอย่าง เพิ่งบรรจุเข้ามา เงินเดือนก็น้อยแต่ทำงานยิ่งกว่าคศ.3อีก     เรื่องระบบการศึกษา พยายามที่จะศึกษากับมัน เพราะก่อนหน้านี้ก็ไม่ค่อยเข้าใจ  ครูสพฐ. ครูอบจ. ครูอบต.  ทำไมโรงเรียนต้องแยกตัวไปสังกัดกับท้องถิ่น   มาคิดดูดีๆ ด้านดีๆก็มี แต่คนมักจะหาจุดบกพร่อง และเอาจุดตรงนั้นมาทำผลประโยชน์ให้กับตนเอง ทำไมโรงเรียนประถมสมัยก่อนถึงต้องการเป็นโรงเรียนขยายโอกาสกัน  ตำแหน่งผอ.เกี่ยวไหม ทำไมสพท. แยกประถม มัธยม  ตำแหน่งผอ.เขตเกี่ยวไหม แยกแล้ว รร.ประถม มัธยมทำงานสะดวกสบายขึ้นไหม แล้วเราทำอะไรกับรร.สังกัดอบจ. อปท. อบต. ห่วยๆได้บ้างไหม ถ้านายกอบจ.จังหวัดไหนไม่เห็นความสำคัญของการศึกษา แล้วเด็กๆจะเป็นอย่างไร  ครูอบจ.ก็เป็นข้าราชการของนักการเมือง  ความรู้สึกมันไม่โอนะ....  เฮ้อ... ก็เข้าใจนะว่าสิ่งที่กระทรวงต้องการคือ "พัฒนาเด็กนักเรียน" แต่บางจุดบางที่มันกลับ "ทำร้ายนักเรียน" ซะเอง เพลีย... ปล. ถึงค.2 ผมชอบงานสอนนะ ผมชอบเด็กๆ เวลาได้สอนเขา ได้คุยกับเขา เล่นบ้างเรียนบ้างมันคือความสุขของผมเลยละ  และผมก็เรียนโททางด้านการศึกษา เรียนเกี่ยวกับสื่อการสอนที่ต้องเอามาใช้สอน  เพราะฉะนั้นงานนี้เป็นงานที่ผมรักนะครับ  ผมชอบตอนที่เป็นครูฝึกสอนมากๆเลยครับ เน้นสอน ทำแผน ไม่ต้องเจอะเจองานรร.อะไรก็ไม่รู้เยอะแยะไปหมด จริงๆงานธุรการ งานพัสดุ งานบุคคล น่าจะมีพนักงานที่ไม่ใช่ครูมาทำนะ  เฮ้อ... จากคุณ : รัตนลาวัณย์ เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 23:35:33

ความคิดเห็นที่ 7 เราเป็นคล้าย จขกท. เลยค่ะ  มีอุดมการณ์มุ่งมั่นที่จะเป็นครู   ตั้งแต่เด็กๆ มาใครถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร  เราไม่เคยตอบอย่างอื่นเลยค่ะ   คำตอบเดียวของเราคืออยากจะเป็น "ครู" แต่สุดท้ายเราก็อยู่ในระบบไม่ได้   เจอปัญหาแบบที่ จขกท. ว่ามาทุกประการ  อาจจะแย่กว่าตรงที่เราไม่เป็นอันสอนด้วย  เพราะถูกใช้ให้ทำงานเอกสาร ถึงกระนั้นเราก็ไม่คิดจะออกนะ  แต่โชคชะตามันทำให้เราต้องลาออกมา  แม่เราป่วยอ่ะจ้า  เลยต้องลาออกมาดูแล   ทีนี้พอแม่หายดีเราก็คิดถึงการสอนขึ้นมาอีก  ก็เลยเปิดสอนพิเศษเล็กๆ น้อยๆ    แต่ความที่โรงเรียนในระบบมันห่วย  เด็กๆ ก็เลยแห่มาเรียนกับเรา  สุดท้ายกลายเป็นโรงเรียนสอนพิเศษไป เราคิดจะกลับเข้าไปสอนอยู่ในระบบเป็นระยะๆ  เราไม่อยากเป็นติวเตอร์  แต่มาคิดดูว่าเป็นแบบนี้เราก็มีความสุขดีนี่นา  เราได้อยู่กับเด็กๆ  ได้สอนเขาเต็มที่  ทำสื่อการสอนอย่างเริ่ด จากเดิมที่ไม่เคยมีเวลาทำสื่อดีๆ เลย  เราเก็บค่าเรียนให้ถูกที่สุดเท่าที่จะทำได้  สอนฟรีแถมให้มากที่สุดเท่าที่เราจะมีกำลัง แม้จะเศร้าลึกๆ ว่าในที่สุดเราก็กระเด็นออกมาจากระบบ  ฝันไม่อาจเป็นจริงในชีวิตนี้   แต่ชีวิตคนก็อย่างนี้แหละ... เล่าให้ฟังเพื่อเป็นแนวทางให้ จขกท. ค่ะ    ถ้าทุกข์เกินไปก็ต้องหาทางออกมา  แต่ถ้าทนได้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติมากๆ ค่ะ จากคุณ : ช็อปยันเช้า เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 01:42:24

ความคิดเห็นที่ 8 แม่เราเป็นครูค่ะ ทีนี้เค้ามีนโยบาย จ้างครูัผู้ช่วย ให้สอนวิชาพิเศษค่ะ เช่นคอมพิวเตอร์ ภาษาอังกฤษ เป็นต้น โรงเรียนเล็กๆ ส่้วนใหญ่ก็ึคงไม่มีใครอยากไปสอนเท่าไร เงินเดือน ไม่ถึงแปดพันค่ะ ส่วนใหญ่ก็ที่รับนะ คือ ดีที่สุดเท่าที่สมัครกันแล้ว ก็ลูกครูนั่นแหล่ะ แต่เป็นลูกครูแบบ ไม่ไหวอ่ะ คือ เรียนไม่จบบ้าง ปัญหาเยอะ หรือไม่ก็เด็กฝากก็คือ ลูกผู้ใหญ่บ้าน ลูกกำนัน อันนี้ไม่ได้ดูถูกแต่อย่างใด แต่เป็นแบบนี้จริง ๆที่เ้ค้าฝากกัน แม่เรามาถามเราครั้งนึงว่าอยากไปสอนไำหม เราบอกว่าอย่าดีกว่า หนูไปทำอย่างอื่นดีกว่านะ เคยไปโรงเรียนแม่ครั้งนึง ครูคอมเวียนมาที่โรงเรียนแม่พอดี (ครูที่จ้างพวกนี้ กลุ่มโรงเรียนมักจ้างมาคนเดียวค่ะ และใช้การเวียนสอนเอา) แล้วต้องสอน word ง่ายๆเค้ายังทำไม่เป็นเลย คือ เด็กมันถามว่า ไอ้ไอคอนเนี่ย มันคืออะไร ซึ่งพี่คนนั้นไม่รู้ และก็ด่าเด็กไป พอดีเราไปเจอ เราก็ไม่อยากหักหน้าเค้านะ แต่ก็แบบ มันก็นะ ..อยากบอก เลยบอกเด็กไป สรุปวันนั้นแม่ให่เราสอนเด็กไปค่ะ ก็สอนนู่นนี่นั่นเรื่อยเปื่อย ไอ้เ้ราก็งูๆปลาๆ ได้แต่พื้นฐาน แหล่ะ อันนี้แค่้เล็กๆ ที่ ปัญหาเนี่ย มันจะเป็นปัญหาเริื้อรังนะ พวกเพื่อนๆแม่ชอบมาบ่นว่า ครูที่จ้างพวกเนี่ย แต่งตัวไม่เรียบร้อย ใส่ขาสั้น ใส่แตะไปสอน (เอาไรคิดอยู่) ชอบโทรศัพท์ระหว่างทำงาน ด่ามากไม่ได้ ปีัญหาเยอะจริงๆ แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 55 02:03:59 จากคุณ : หมูหวานน้ำกะทิ เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 02:03:20

ความคิดเห็นที่ 9 บางคนอาจจะบอกว่า ทำไมยังเลือกที่จะจ้างอยู่ เราก็สงสัยแหล่ะ ว่าทำไมยังจ้าง ทำไมไม่เปลี่ยน คำตอบก็คือ เงินเดือนมันน้อย ไม่ถึงแปดพัน คนเก่งๆดี ๆใครเค้าอยากสอนกัน (ถ้าถามจากตัวเรานะ ยังไม่อยากสอนเลย ) คือ โรงเรียนเล็กๆ งบมันก็น้อยอะนะ ทีนี้เมื่อไม่มีใครอยากสอน จะเอาใครหล่ะ อันดับแรก คนใกล้ตัว ก็คือลูกครู ทีนี้ คนที่เรียนที่ดีๆเนี่ย เค้าคงไม่อยากมาสอนกันหรอก นอกจากใจจริงๆ เพราะไม่ได้สอนโรงเรียนเดียว คือสอนหลายที่ และมีงานธุรการรออยู่ตรงหน้า แล้วต่อจากนั้นก็คือ ลูกครูที่หางานทำไม่ได้แล้ว นั่นก็คือ (อันนี้ไม่ได้ดูถูกอีก) แต่ก็คือพวกที่เข็นกันจนจบนั่นแหล่ัะ เรียนราชภัฎบ้างอะไรบ้างก็มาสอน ไม่ดีก็เปลี่ยน ต่อจากนั้นก็เด็กฝากทั้งหลาย คือลูกกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งอันนี้จะเปลี่ยนตามใจชอบไม่ได้ เพราะเข้าทำนอง น้ำพึ่งเรือเสือพึุงป่า อยู่ดี อันนี้ก็คือความจริงในสังคมไทยเนอะ สุดท้ายก็สงสารเด็ก ผลรวมของปัญหา ก็ตกที่เด็กอยู่ดี จากคุณ : หมูหวานน้ำกะทิ เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 02:08:13

ความคิดเห็นที่ 10 เพื่อนที่เป็นครูกำลังพัฒนาโปรแกรมแบบทดสอบ วัดความสามารถเด็ก จะได้รู้ไปเลยว่าสอบเสร็จได้คะแนนเท่าไหร่ คำนวณสถิติด้วย ใกล้เสร็จแล้ว ลองเยี่ยมชม www.mcatesting.com ลงทุนวิจัย จากคุณ : uhuboy เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 09:54:26

ความคิดเห็นที่ 11 คิดว่าเรื่องแบบนี้ไม่ได้เป็นแค่ระดับโรงเรียน แม้กระทั่งระดับมหาวิทยาลัยเอง ล่าสุดพึ่งทราบข่าวไว่าตอนนี้เด็กมหาวิทยาลัยในไทยมีเรียนกวดวิชาด้วย  นักศึกษายอมเสียตังค์เพิ่มเพื่อที่จะไปเรียนเก็งข้อสอบเพื่อให้สอบผ่านจบเดินออกจากรั้วมหาวิทยาลัย โดยที่นักเรียนบางคนเลือกที่จะไม่เข้าเรียนแต่เสียเงินเพิ่มฝากชีวิตไว้กับโรงเรียนกวดวิชา  งงกับระบบการศึกษาไทยในสมัยปัจจุบันเช่นกัน จากคุณ : jinjung เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 10:11:20

ความคิดเห็นที่ 12 มีพ่อเป็นครูคะ พูดได้เลย ว่าพ่อเป็นครูมืออาชีพ พ่อเคยสอนในหมู่บ้านที่ยังมีการปะทะกันของโจรจีนคอมมิวนิสต์ เคยโดนขู่ฆ่าเพราะไม่ยอมให้มีโครงการระเบิดภูเขาทำหิน ซึ่งอยู่ห่างจากโรงเรียนแค่ 2 กิโลเมตร ไม่เคยได้ย้ายไปสังกัดโรงเรียนใหญ่ ๆ เลย เพราะไม่เคยวิ่งเต้นและไม่ประจบสอพลอ พ่อเคยพูดหลายอย่างตั้งแต่เล็กจนโต อยากแบ่งปันให้คนอื่นบ้าง -ครูได้เงินเดือนจากภาษีของพ่อแม่เด็ก ครูจึงเป็นอาชีพที่เป็นหนี้เด็ก ครูมีเด็กเป็นหัวหน้า ไม่ได้มีผู้อำนวยการเป็นหัวหน้า  เป้าหมายของครู ก็ต้องทำทุกวิถีทางให้เด็กได้รับการศึกษาที่ดี -ถ้าคนเป็นครู ด่าเด็กว่า โง่ ก็เท่ากับว่า เขาด่าตัวเอง ด่าที่ตัวเองไม่ทำให้เด็กเก่งขึ้นได้ เพราะหน้าที่นั้นคือหน้าที่ของครู คนเป็นครูต้องไม่ด่าเด็กว่าโง่ แต่ต้องทำทุกอย่างให้เด็กเก่งขึ้นมาให้ได้ -การให้การศึกษาที่แท้จริง ไม่ใช่การให้ความรู้ แต่การให้การศึกษาที่แท้จริง คือการให้ วิธีในการเรียรนรู้ที่ดี -มันมีความต่างกัน ระหว่าง คนที่เป็นครูมืออาชีพ กับ คนที่มีอาชีพเป็นครู   เพื่อนที่เป็นครูหลายคน บ่นเหมือน จขกท แต่อยากให้ทุกคนที่เป็นครูทำหน้าที่ของครูให้ดีที่สุด คิดถึงเด็กเป็นหลักก่อน ถ้ามีครูแบบนี้มากกว่า ครูอีกแบบ รบบการศึกษาในปัจจุบันก็อาจเปลี่ยนไปได้ จากคุณ : ฉันก็จะเป็นครูที่ดี (โลกนี้ไม่มีอะไรเลย) เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 12:08:05

ความคิดเห็นที่ 13 จขกท ไม่ลองปรึกษาศึกษานิเทศดูหละครับเผื่อเค้าช่วยคุณได้ (แต่ยาก) คือองค์กรณ์นี้ควรจะทำหน้าที่เป็น Auditor ของการศึกษาด้วย แต่ก็เหมือนจะไม่ได้ทำอะไรจริงจัง นโยบายเลยออกมาประหลาดๆ คนที่วางแผนไม่เข้าใจหน้างาน โรงเรียนแต่ละจังหวัดก็ทำไม่เหมือนกันอีก ไปกันใหญ่ โรงเรียนบ้านนอกมันน่าเศร้ากว่าเยอะ โรงเรียนใหญ่ๆ สามารถจ้างคนมาทำงานได้ โรงเรียนบ้านนอกฝันไปเหอะ ครูต้องทำหมด แล้วไอ้นโยบายติด 0 แล้วให้แก้เป็นช่วงชั้นเนี่ยมันเอาอะไรคิด ให้เรียนชั้นต่อได้แบบไม่สนวิชาต่อเนื่องมันจะได้ประโยชน์อะไร จากคุณ : แข้งบวม เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 12:08:13

ความคิดเห็นที่ 14 เห็นใจครับ....ควรจะให้เป็นวาระแห่งชาติเลยนะครับเรื่องการศึกษา แต่......ลืมไป ไม่มีเวลา "ทะเลาะกันอยู่" จากคุณ : หนมกรุบ (Rinkub) เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 18:30:57

ความคิดเห็นที่ 15 เป็นกำลังใจค่ะ เพื่อนที่ยังเป็นครูอยู่ ทุกคนอยู่ด้วยใจจริงๆ ค่ะ เหนื่อยก็เหนื่อย จะทิ้งไปทำงานอื่นก็ทิ้งไม่ลงอีก วันๆ ก็บ่นเรื่องโรงเรียน เรื่องระบบ แต่พอมาถึงนักเรียน กลับยิ้มร่าตลกโปกฮา (แม้บางทีจะบ่นว่าเด็กไทยเปลี่ยนไปก็ตาม) เป็นกำลังใจค่ะ จากคุณ : ปาบู่ผู้พลิ้วไหวไปกับสายลม (PaBo) เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 19:31:23

ความคิดเห็นที่ 16 ขอแอบรักพ่อของ คห.12 ด้วยคนนะคะ จากคุณ : เจ้ากก เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 19:41:14

ความคิดเห็นที่ 17 ครูที่ดีก็ยังมีอีกเยอะค่ะในสังคมของประเทศเรา แต่ด้วยระบบต้องใช้เส้นสายเงินทองเพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งตำแหน่งที่สูงขึ้น ทำให้ครูที่ตั้งใจทำงานจริงๆ โดยตัดตอนไปเยอะในสังคมปัจจุบัยค่ะ จากคุณ : ต้นหญ้าปล้อง (ต้นหญ้าปล้อง) เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 20:52:11

ความคิดเห็นที่ 18 เป็นครูอีกคนที่หนักใจค่ะ แม่เป็นครูสอนประถม โรงเรียนประชาบาล  ตอนเด็กๆ เราก็อยากเป็นครูแบบแม่ เราจำได้จนถึงวันที่แม่เกษียณค่ะว่าแม่มักให้เวลากับเด็กๆ เพื่อให้ "อ่านหนังสือออก" แม่มักมาคุยกับที่บ้านให้ฟังว่า นับวันเด็กเริ่มอ่านหนังสือไม่ออก แม่สอนป. 4 แต่เชื่อไหมคะ เด็กครึ่งห้องอ่านหนังสือไม่ออกค่ะ ซึ่งในความเป็นครูแล้ว การที่จะให้เด็กเลื่อนชั้น ต้องอ่านหนังสือนะคะ ไม่งั้นเด็กจะอ่านโจทย์ทำข้อสอบได้อย่างไร หรือว่า "โชคดีตอบถูก"  แม่เลยจัดสรรเวลาหลังเลิกเรียนมานั่งอ่านหนังสือ (แม่เป็นห่วงอนาคตเด็กๆ มาก ขนาดเกษียณแล้วทุกวันนี้แม่ก็ยังไปคุยกับครูที่โรงเรียนบ้าง เด็กๆ ที่จำแม่ได้ก็มานั่งอ่านหนังสือกับแม่บ้าง พาน้องมาอ่านหนีงสือกับแม่ แม่เคยถามเด็กๆ ว่า "แล้วไม่ไปอ่านกับครูประจำชั้นของเธอล่ะ" เด็กบอกว่า "เขากลับบ้านไปแล้วค่ะ หนูรอแม่ แม่ยังไม่มารับ เลยมาอ่านกับคุณครูก่อน เพราะหนูเคยเรียนกับคุณครูค่ะ" แม่ของเราจะกลับที่หลังเด็กค่ะ เพื่อความปลอดภัย แม่ได้ยินที่เด็กตอบก็มาช่วยสอนค่ะ หากบางคนยังไม่ทราบ คุณครูสอนโรงเรียนประชาบาลต้องสอนทุกวิชาค่ะ ไม่เหมือนสมัยนี้ที่ต่างสอนตามความถนัด หรือที่ตัวเองเรียนมา  แต่ไม่ทราบนะคะ แม้แต่ภาษาอังกฤษแม่ก็สอนได้ แม่ก็อ่านหนังสือของเด็กก่อนแล้วมาถามเรา (เราจบด้านภาษาอังกฤษมาค่ะ) แล้วแม่ก็สอนแบบพื้นฐานให้เด็กๆ แต่กรณีของเรา เราเป็นครูสอนวิชาภาษาอังกฤษ โดยที่เราเคยใช้ภาษาอังกฤษทำมาหากิน ค่ะ.... เราเคยทำงานโรงแรม ใช้ภาษาอังกฤษโต้ตอบ แก้ปัญหามาก่อน หลังจากที่จะสมัครเป็นครู เราก็เรียนเอกภาษาอังกฤษโดยตรงอีกหนึ่งใบ  ด้วยความที่ร้อนภาษาอยากใช้เลยสมัครงานที่โรงแรม ก่อนเป็นครูค่ะ ทำให้เรานึกถึงสมัยเด็กๆ ที่เรียนภาษาอังกฤษ ต่อให้พูดอังกฤษปนไทย  ถ้าไม่คิดอยากจะฟังออก หรือ พูดเป็น  เรียนไปตลอดชีวิตก็พูดไม่ได้ค่ะ แต่เราสอนเด็ก ปวช.  เราจำได้ว่าถามเด็กๆ วันแรกของการเปิดเทอมได้ว่า.... "วันนี้ขอทดสอบพื้นฐานเบื้องต้นของภาษาอังกฤษของแต่ละคนนะคะ" เราก็แจกกระดาษ A4 คนละแผ่น พร้อมให้เขียนโจทย์เป็นภาษาไทยก่อน เพราะพื้นของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราให้เด็กเขียนดังนี้ค่ะ 1.  วันทั้ง 7 2.  เดือนทั้ง 12 3.  เลข 1 - 30 4.  ชื่อ นามสกุล ของตัวเอง 5.  เรียงลำดับ A - Z ุ6.  สีตามวัน สุดท้าย ให้เวลาเด็กเขียนแค่ 20 นาที ค่ะ ดูเบาะๆ ถ้าเด็กที่มาจากโรงเรียนดีๆ แค่เห็นโจทย์ก็หวานแล้ว แต่....  ผลที่ออกมา ข้อแรก วันอังคารกับวันพฤหัส เด็กจำสับสน โอเคไม่ว่ากัน เด็กคงตื่นเต้น ข้อสอง เดือนทั้ง 12  นี่ ไม่ได้กันเยอะค่ะ (ทั้งๆ ที่แนะนำทริคว่าให้เขียนเดือนเกิดของตัวเองได้ก็โอเคแล้ว แต่เขาไม่ได้ค่ะ) ข้อสาม เขียนมาแค่ 1-10 นอกนั้นโล่งงงง ข้อสี่  เด็กส่วนมากเขียนชื่อตัวเองไม่เป็นค่ะ  (เริ่มตาโตตะลึง) ข้อห้า ไม่ต้องถูกถึงเปอร์เซนต์ของความถูกต้องค่ะ ทั้งห้องเขียนถูกไม่เกิน ห้า คน และลำดับเรียงถูกต้อง นอกนั้นสลับกันมั่ว เขียนซ้ำแล้วก็มี ข้อหก  จบกัน เด็กเขียนมาไม่ครบวัน ก็มานั่งคุยกับเด็กในห้อง ซึ่งได้ความว่า.... ภาษาอังกฤษยากกกก ค่ะ ยาก เราก็ยอมรับ แต่เราจะแชร์ประสบการณ์ของตัวเองให้เด็กนรู้ว่า "ตอนที่ครูอายุเท่าพวกเธอครูนี่ตกภาษาอังกฤษกลางเทอม แต่ปลายภาคให้แม่รู้ไม่ได้ เพราะว่าครูไม่อยากซ้ำชั้น" เด็กนั่งนิ่ง แล้วคำถามก็จะเริ่มตามมาว่า  "ทำอย่างไรถึงจะเก่งภาษาอังกฤษ" เราย้อนถามเด็กค่ะว่า "ปิดเทอม ทำงานดีกว่ามาเรียนซัมเมอร์ ได้เงินด้วย ได้โอกาส ช่วยพ่อแม่ด้วย" บางคนก็นั่งฟัง แต่บางคนเริ่มเอาโทรศัพท์มากดเล่น  เราก็ดุนะคะ แต่เด็กสมัยนี้ดุเสร็จก็เอามากดเล่นต่อ หรือไม่ก็ขอตัวไปห้องน้ำแล้วออกไปโทรศัพท์ เราบอกเคล็ดอย่างเดียวค่ะว่า "ทุกวิชาต้องฝึกฝน หาแบบฝึกหัดมาทำ หาหนังสือมาอ่าน เหมือนอย่างที่พวกเธอนั่งเล่นเกมเดิมๆ อยู่ทุกวันจนชนะนั่นแหละ คือผลของการฝึกฝนเช่นกัน เอามาใช้กับการเรียนแค่นั้นเอง" สิ่งที่เราหนักใจกับเด็กๆ คือ  เขาคอยแค่เรียนซัมเมอร์ ซึ่งได้เกรดดีกว่าเรียนปกติ แล้วเรียนน้อยด้วย   เคยมีเด็กมาคุยให้ฟังว่า เขาดูหนังเรื่อง วัยรุ่นพันล้าน ไม่ต้องเรียนก็รวยได้   เอิ่ม.... ลูกคะ อันนั้นกว่าเขาจะประสบความสำเร็จก็ใช้ความพยายามเหมือนกันค่ะ ไม่ใช่ว่าลูกไม่เรียนแล้วจะรวยอย่างเขา อย่างนี้ครูก็ไม่ต้องมาสอนหรอก รอหวังจะรวยแบบเขาดีกว่า เปิดเทอมใหม่คราวนี้คงต้องคิดแผนการสอน (แบบฉบับตัวเอง ไม่ใช้แผนตามตำราที่ส่ง) ใหม่ หาวิธีดึงดูด ลบล้าง "คำว่ายากของภาษาอังกฤษ" แม้ว่าจะสำเร็จเฉพาะเด็กส่วนน้อยก็เถอะ ที่ทำได้ดีที่สุด ก็ได้เฉพาะหลานๆ ที่บ้านค่ะ ฝึกลูกหลานเราเองให้เก่งก็ถือว่าเราเป็นครูที่บ้านก็พอค่ะ เหนื่อยนักก็พัก เหนื่อยจัดก็เที่ยว เหนื่อยไม่ไหวก็.... อาชีพอื่น จากคุณ : ColdOut เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 55 00:23:15

ความคิดเห็นที่ 19 ไม่เห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้้ข้อนึงค่ะ เด็กไว้ผมยาวได้เกี่ยวอะไรกัน  ขอให้เด็กตั้งใจเรียนก็น่าจะพอแล้วนี่คะ จากคุณ : กุนซือเอกแห่งรัฐวุ่ย เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 55 00:38:14

ความคิดเห็นที่ 20 มาให้กำลังใจ ครู ค่ะ อ่านแล้วเห็นถึงความตั้งใจและไม่อยากให้ ลาออก เพราะครูที่ดีๆและมุ่งมั่นตั้งใจอยากเป็น ครู  จริงๆน้อยนะค่ะ สู้ๆค่ะ จากคุณ : Jzbd25 เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 55 01:37:41

ความคิดเห็นที่ 21 ถึงค.19 ครับ ทีแรกผมก็คิดว่าไม่เกี่ยวกันนะครับ  แต่ที่เห็นๆรร.รัฐบาลกับรร.เอกชน ความเป็นอยู่ ความดูแลเอาใจใส่นักเรียนของผู้ปกครองมันต่างกันครับ เด็กที่เรียนรร.รัฐ  ที่ไว้ผมยาวได้  เด็กก็ชอบสิครับ  แห่กันมาเรียนกันเยอะ  แล้วเด็กก็ห่วงสวยมากกว่าที่จะห่วงเรียน  ถ้ารร.มีคุณภาพจะไม่ว่าเลยครับ   รร.สังกัดอบจ. อบต.พวกนี้ ต้องการนักเรียนเยอะๆโดยที่คุณภาพการเรียนการสอนนั้นยังไม่ดีพอ จากคุณ : รัตนลาวัณย์ เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 55 07:32:06

ความคิดเห็นที่ 22 คุณเอาอะไรมาตัดสินครับ ถ้า อบจ. เขาผ่านเกณฑ์ สมศ. ดีมาก คุณจะกล้าตัดสินเขาไหม? หรือใช้ รูบริค ที่คุณสร้างเองขึ้นมา... ผมว่า ตรรกะของเจ้าของกระทู้ ออกจะเห็นแก่ตัวเอง และโยงโลกมาหมุนรอบตัวมากเกินไป เรื่องเด็กติด 0 ติด ร. มส. มันสะท้อนถึงการขาดประสิทธิภาพของครูครับ ต้องทำการสอนซ่อมเสริม/มีบันทึกหลังสอน/วิจัย บลา บลา ตามหลักการ แต่... คุณได้ทำครบแล้วหรือเปล่า.. หรือแค่พ่นในเวบบอร์ดแค่นั้น.. บางที ความผิดทั้งหมด อยู่ที่เราละเลยเรื่องวินัย และศีลธรรมของเด็กมากกว่า เพราะเรามองไปแค่ ตัวชี้วัด.. ลืมมองพื้นฐานทางจิตใจกัน... ลองคิดดีๆ ว่า จริงไหมครับ แล้วจะรู้ว่า ประเทศเรา การศึกษาของเรา กำลังหลงทาง จากคุณ : zenzen เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 55 07:39:45

ความคิดเห็นที่ 23 พ่อแม่ห่วย จะให้ลูกดีได้ยังไงครับ สังคมมันห่วย จะให้คนในสังคมดีได้ยังไง ปัญหาของไทยมันหนักเกิน คนสองคนแล้วครับ อย่างแรกให้ จขกท วางอุเบกขาครับทำใจให้สบายๆ จากนั้นค่อยคิดครับว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรแล้วทำไป เท่าที่กำลังตัวเองมี ถ้าคนเดียวคิดไม่ได้ ก็ให้สองคนคิด สองคนคิดไม่ได้ก็ ให้หลายๆคนคิดอย่าไปคิดปัญหาระดับชาติครับมัน ไร้สาระและเสียเวลาค่อยๆ คิดว่าจะทำให้ทุกอย่างมันดี ขึ้นได้อย่างไรไม่ต้องเรื่องใหญ่ๆ แต่ให้เป็นเรื่องเล็กๆ ใกล้ๆ ตัวเรานี่แหละครับอย่างความเห็นที่ 8 นั่นแหละครู ของแท้ที่หาได้ยากแม้แต่ในปัจจุบัน อย่างปัญหาของจขกท คือเด็กไม่ตั้งใจเรียน ไม่มีวินัยและความรับผิดชอบ ก็ลองทำแบบ ที่หลายๆคนแนะนำครับ อาชีพเรือจ้างมันลำบากจริงๆ คุณอาจต้องนั่งเข้าไปนั่งคุยกับนักเรียนครับ ว่าทำไมไม่ ส่งงาน มีปัญหาอะไร หรือถ้าเด็กขี้เกียจ ไม่มีความรับผิดชอบ ก็ต้องเรียก ผู้ปกครองมาพูดคุย ซึ่ง ส่วนมากแล้วเด็กแบบนี้ พ่อแม่ก็มักละเลย ไม่สนใจด้วยเหมือนกัน ส่วนเรื่องไว้ผม มันเป็นเรื่องง่ายๆครับ โรงเรียนมีกฎ แล้วคุณละเมิดกฎ แน่นอนว่าเรื่องกฎระเบียบในโรงเรียนมันพัฒนามาจากแนวคิด ยุคอุตสาหกรรมซึ่งอาจสมควรมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง แต่การ ละเมิดกฎเป็นอาจิณก็สะท้อนมาเป็น สังคมไทยในทุกวันนี้ไงละครับ แก้ไขเมื่อ 21 มี.ค. 55 09:14:26 จากคุณ : Pongkm (Pongkm) เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 55 09:12:14

ความคิดเห็นที่ 24 อ่านค.ที่ 22 อยากอยากจะหัวเราะดังๆ "คุณเอาอะไรมาตัดสินครับ ถ้า อบจ. เขาผ่านเกณฑ์ สมศ. ดีมาก คุณจะกล้าตัดสินเขาไหม? หรือใช้ รูบริค ที่คุณสร้างเองขึ้นมา..." รร.ผมเป็นทั้งโรงเรียนในฝัน โรงเรียนพระราชทาน โรงเรียนเศรษฐกิจพอเพียงดีเยี่ยม เออ.. รางวัลมีอีกเยอะ  แต่พอบอกชื่อรร.ก็คงส่ายหัวเหมือนกัน ผมไม่ได้ดูถูกรร.ตัวเองนะครับ  ก็เพราะการประเมินบ้าบอนี่แหละ ที่ทำให้หน้าที่หลักของครูคือทำเอกสาร  แล้วหน้าที่รองคือการสอน   เพราะฉะนั้น ต่อให้สถานศึกษาผ่านเกณฑ์ ดีมากยอดเยี่ยมอภิมหึมาเพียงใด ก็ไม่ได้เป็นตัวชี้วัด "คุณภาพการศึกษา"  นะครับ ตรรกะของผมมันแคบ เคยเรียนแต่โรงเรียนใหญ่ๆ มหาวิทยาลัยดีๆ ไม่เคยได้เห็นชีวิตบ้านนอก  พอได้มาอยู่ มาเห็น  นึกว่าจะเหมือนกับในละคร  อยากเป็นฮีโร่ช่วยเหลือสังคม  สุดท้ายจะทนไม่ได้เอา  ไม่แน่ในอนาคตผมก็อาจจะย้ายกลับไปรร.ใหญ่ๆ ดีๆก็ได้ คงไม่ต้องปวดหัวแบบนี้  แต่คิดอีกทีก็สงสารเด็กที่นี่ที่ตั้งใจ สนใจเรียนเหมือนกัน ตรรกะผมมันแคบครับ  เข้ามาอยู่ในวงการศึกษาซิครับ  แล้วจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ปล. ครูอบจ. ครูอบต. มีเงินโบนัส ซึ่งได้จากภาษีประชาชนในท้องถิ่นนี่แหละ ไปเที่ยวในประเทศบ้าง นอกประเทศบ้าง ลองศึกษาหาข้อมูลดูนะครับ  ศักดิ์ศรีของครูสพฐ. กับครูอบจ. มันต่างกันแค่ไหน จากคุณ : รัตนลาวัณย์ เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 55 11:59:17

ความคิดเห็นที่ 25 คือ ผมก็ ครู สพฐ เหมือนคุณ ครับ แต่ผมไม่คิดว่าการออกมาพ่นในเวบบอร์ดจะช่วยแก้ไขอะไรได้ อย่างที่คุณบอกว่า สมศ มันประเมินเอกสาร ก็จริงครับ แต่เราจะเอาอะไรวัดว่าอะไรดีหรือไม่ดี ถ้าเราใส่อคติส่วนตัวเข้าไป มันเป็นการวัดที่ไม่เที่ยงตรง แม่นยำ และขาดความน่าเชื่อถือ.. ตอนนี้ ที่เรามีดีที่สุด คือ สมศ. ซึ่งผมเอง ก็ไม่ชอบมันเหมือนกัน เพราะต้องมานั่งทำเอกสารเยอะแยะ แต่ถ้าเราทำจริงตามเอกสารที่เราทำไม่ได้ เมค ขึ้นมา เชื่อว่ามันต้องมีส่วนดีขึ้นแน่นอน เพียงแต่ว่า เอกสารที่ทำส่ง สมศ มัน เมค ทั้งนั้น แล้วเราจะมาบ่นอะไรกัน ยกเว้น คุณทำตามมาตรฐานที่ สมศ วางไว้จริง คุณก็คงไม่มาบ่นในพันทิพแบบนี้... ฝากเรื่อง เด็กติด 0 มส ร ว่า คุณทำตามกระบวนการซ่อมเสริมเด็กหรือไม่ ถ้ามีปัญหา ต้องมีวิจัย.. ลองทำวิจัย ไหนๆ คุณก็เรียน ป โท แล้ว น่าจะรู้หลักการทำวิจัย และเหตุผลของการทำวิจัยดี.. สุดท้าย ผมไม่ได้มาทะเลาะกับคุณบนกระดานนี้ เพียงแต่ อยากบอกคุณว่า ผมเคยเป็นมาเหมือนกัน และกำลังแก้ปัญหาหลายๆ อย่าง ที่เรารู้ๆ กันว่าเป็นปัญหา ไม่ใช่คุณเจอมันคนแรกหรอกครับ ถ้าผมทำ คุณทำ ช่วยกันทำ ครูหลายแสนคนในประเทศนี้ ทำ... มันคงดีกว่านี้ เพียงแต่ ไม่มีคนทำ มีแต่คนบ่น.. จากคุณ : zenzen เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 55 14:59:43

ความคิดเห็นที่ 26 ระบบการศึกษาไทย มันล้าหลัง ตามไม่ทันโลก ไ่ม่รู้จักสอนให้เด็กคิด มีแต่ครูชาวทองก้า (ท่องคะ) เป็นส่วนใหญ่ เด็กเรียนภาษา เริ่มจาก ก ข ค หรือ เอ เบ ซี ดี ถามหน่อยในชีวิตจริง พ่อแม่สอนลูกท่อง เอ เบ ซี ดี หรือ (พ่อแม่ฝรั่ง) เวลาลูกเกิดมา เขาพูดกับลูกคุยกับลูกทั้งประโยค   เราไม่เคยในสถานการณ์จริงมาใช้สอนเด็ก ยิ่งเด็กเล็กๆ ต้องให้เขาดูหนัง ฟังเพลงเป็นหลัก กขค เอ บี ซี มาเรียนสัก ป 2-3 ก็ยังไม่สาย หากเด็กออกเสียงถูกต้องชัดเจน สมัยก่อนครูขาดแคลน ก็เปิดวิทยาลัยครูกันจนเกร่อ  สมัยนี้ครูล้นตลาดหรืออย่างไรไม่ทราบ ก็พยายามล้างตัวชุบเปลี่ยนชือสถาบันตนเองใหม่ ให้ไม่เหลือร่องร่อยวิทยาลัยครู ยกระดับตัวเองมาเป็นมหาวิทยาลัย ทั้งที่มันไม่ใช่ (มหาวิทยาลัยคือสังคม ของนักวิชาการ และนักวิจัย (a community of scholars and researchers) ไม่ใช่สังคมของครู หรือที่ผลิตครู) บ้านเรา เอาทุกอย่างมาผสมปนเป ละเลงกันเสียเละแบบไร้ระบบ แล้วการศึกษามันจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร ห้องเรียนมาตรฐานเขาต้องให้มีนักเรียนไม่เกิน 20-25 คน ก็ดูโรงเรียนดังๆสิ เกิน 50 คนได้กระมัง ปัจจัยแรกที่ต้องแก้คือ ผู้สอน ต้องมีคุณภาพ  คนสอนมีคุณภาพ คนเรียนก็จะมีคุณภาพตามมาเอง เรียนจบเกรดเฉลี่ยต้องไม่ต่ำกว่า 3 ไม่ถึงสาม ก็ไม่ต้องมาสอนชาวบ้านเขา   ปัจจัยที่สอง รื้อระบบการวัดผล  ใช้คะแนนดิบเท่านั้น จะให้เป็นเปอร์เซ็นต์เหมือนเดิม หรืออะไรก็ว่าไป แต่ต้องทำให้ละเอียดกว่า แค่ เกรด 4 หรือ เอ  ก็ถามหน่อยทำไมสอบโทเฟล ไอเอลฟ์ เขาไม่ให้เป็น เอ บี ซี ดี หล่ะ เพราะเขาต้องการทราบประสิทธิภาพของผู้สอบใช่ไหม หลักการแค่นี้ทำไม่ได้ ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร ปัจจัยที่สาม ผู้ที่ไปดูงานการศึกษาต่างประเทศ ต้องเขียนรายการเชิงเปรียบเทียบ ระหว่างการศึกษาไทย กับการศึกษาที่ไปดูมาว่า ต่างกันอย่างไร พร้อมกับลงตีพิมพ์ เสนอเป็นเหมือนรายงานข่าว ให้ประชาชนทั่วไปทราบ เท่ากับใช้งบประมาณแผ่นดินได้คุ้มค่า จากคุณ : ปากจัดชะมัดยาด (ปรารถนาดี ไม่มีแอบแฝง) เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 55 15:53:27

ความคิดเห็นที่ 27 ใจเย็นกันนะคะ ถ้าเครื่องมือที่ใช่ในการติดตามผลผิด ข้อมูลที่ได้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรนะคะ ในมหาวิทยาลัย ก็วัดจากผลงานตีพิมพ์ของอาจารย์ อาจารย์เลยต้องทำวิจัยหนักหน่อย อาการก็เหมือนกับที่ ครู ๆ เจอกันละคะ มาช่วยกันออกไอเดีย หาเครื่องมีวัดผลที่ดีว่านี้กันดีกว่านะคะ แก้ไขเมื่อ 21 มี.ค. 55 15:57:38 แก้ไขเมื่อ 21 มี.ค. 55 15:56:26 จากคุณ : โลกนี้ไม่มีอะไรเลย (โลกนี้ไม่มีอะไรเลย) เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 55 15:54:56

ความคิดเห็นที่ 28 อยู่้บ้านเมืองนี้ เวลานี้ เอามโนธรรม ความถูกต้อง ทิ้งลงโถส้วมบ้างก็ดี  ชีวีจะมีสุข จากคุณ : เคยรู้อะไรกะเค้ามั่งมั๊ยเนี่ย เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 55 16:29:25

ความคิดเห็นที่ 29 ถึงคุณzenzen ในเมื่อคุณเป็นครูเหมือนกันก็คงเข้าใจ "เด็กทุกวันนี้ไม่ได้โง่ลงหรอก เพียงแต่มันขี้เกียจมากขึ้น"   ปัญหาเด็กไม่ส่งการบ้าน  ผมตีเป็นตี ไม่กลัวอะไรทั้งนั้นแหละ ปัญหาเด็กไม่ส่งงาน ผมก็เน้นสอบ สอบวิชาผมก็เน้นข้อเขียนทั้งนั้น  จะได้รู้ปัญหาว่าใครทำได้ไม่ได้อย่างไร ได้เรียกเขามาสอนใหม่  แต่ปัญหาเด็กลอกกันก็ยังคงมีทุกยุคทุกสมัย  ก็เลยไม่รู้ว่าใครทำได้จริงไม่ได้จริง ปัญหาเด็กขาดเรียนบ่อย  ผมดูที่สภาพแวดล้อมของเด็ก  เด็กบางคนต้องช่วยพ่อแม่หาเงิน บางทีก็ไม่มีเงินมารร. เด็กพวกนี้เวลามารร.ผมล็อกตัว สอนเพิ่ม ให้ทำแบบฝึกหัด แล้วก็พยายามให้เขาผ่านๆไปแม้จะรู้สึกผิดว่าเด็กทำไม่ได้แต่ก็ให้ผ่าน     แต่บางพวกไม่ต้องพูดถึงเด็กแว๊นซ์ เด็กเกเร ถ้ามันตามงาน  ผมก็ช่วยเต็มที่  แต่ถ้าเราเรียกมาพบก็แล้ว  ให้ทำนั่นนี่ก็ไม่ส่ง  อะไรๆก็ไม่เอา  อันนี้ก็สุดปัญญาเหมือนกัน ผมสอนวิชาคำนวณ ไม่ได้เก่งภาษา ฉะนั้นเด็กจะเก่งได้มันต้องทำแบบฝึกหัดบ่อยๆเยอะๆ ซึ่งผมก็สรรหาเลือกสรรมาหลายๆเล่ม  สื่อก็มีบางทีก็ให้เด็กดูอาจารย์ติวเตอร์สอนบ้าง  แต่เด็กมักจะไม่ชอบเพราะเขาไปเร็ว ไม่เหมือนเราสอนเองที่รู้ว่าพวกเขาอ่อนตรงไหน  ม.5 บางคนยังแก้สมการไม่เป็นเลยครับ วิจัยทางรร.ให้ทำส่งทุกเทอมอยู่แล้วครับ แต่ปัญหามันเยอะ เยอะมากๆ ถ้าจะเอาถูกต้องเป๊ะๆก็ขอให้งานเอกสารประเมินของรร.มันน้อยลงได้ไหมละครับ   ครูเด็กๆอย่างพวกผมโดนใช้งานหนักมาก เพราะครูผู้ใหญ่บางคนไม่เป็นคอมเลย(แต่ได้คศ.3มาแล้ว)   ปล. ผมก็แค่ออกมาระบายความในใจ  ส่วนเรื่องที่จะแก้ไขได้ไม่ได้นั้นก็ปล่อยมันเป็นเรื่องอนาคตครับ   ผมเข้าใจเด็กนะเพราะผมก็อายุต่างจากพวกเขาไม่กี่ปีเอง   เพราะระบบนี้แหละที่ทำให้เด็กเสียนิสัย และขี้เกียจกันมากขึ้น จากคุณ : รัตนลาวัณย์ เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 55 19:28:33

ความคิดเห็นที่ 30 ผมคิดว่านโยบายของกระทรวงศึกษา ในการให้เด็กผ่านทั้งหมดแม้ไม่มีคุณภาพ เพื่อเป็นผลงานผู้บริหารโรงเรียนเป็นการทำลายชาติอย่างหนึ่ง จากคุณ : watd เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 55 19:48:34

ความคิดเห็นที่ 31 คิดว่า เริ่มจากการหักไม้เรียวครูนะ คือว่า คงคิดกันว่าเอะอะอะไรครูก็ตี จริงๆไม่รู้หรอกว่าไม่จำเป็นไม่มีครูคนไหนอยากตีหรอก ก็เหมือนกับการที่พ่อแม่ไม่อยากตีลูกนั่นแหละ จากประสบการณ์ ตอนสอนในโรงเรียนเอกชน ปกติโรงเรียนเอกชนก็ห้ามอยู่แล้ว ต้องสอนพิเศษเด็กตอนเย็น เพราะว่ารอผู้ปกครองมารับเลิกงานเย็น การบ้านที่ต้องสอนหนึ่งนั้นคือการ ท่องคำศัพท์ภาษาอังกฤษวันละอย่างน้อย สามคำ ทุกสัปดาห์เด็กผู้ชายจะท่องไม่ได้เลย อาอี๊ มารอรับทุกวันจนโมโหแทนครู เลยพูดว่า ครูตีได้เลยอาอี๊อนุญาต ครูได้ยินดังนั้น จัดการไปแค่ทีหนึ่งตามคำอนุญาตของผู้ปกครองนักเรียน พอดีวันนั้นเป็นวันศุกร์ รวมแล้ว15 คำ ท่องได้ทั้งหมดภายในวันเดียวและวินาทีเดียวที่เคยบอกว่า ท่องไม่ได้ หมายความว่าอย่างไร อ้อเด็กอยู่ ป.3 จากคุณ : araide เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 55 21:10:05

ความคิดเห็นที่ 32 การศึกษาของไทยยังเหมือนเดิมเหรอครับ ผมนึกว่าพัฒนาไปไกลแล้ว แสดงว่าที่โพสแสดงความเห็นกันอุตลุตเมื่อปีที่แล้ว  ไม่ได้ทำให้กระเตื้องเลย 555 ถ้าเพื่อนๆได้รู้ว่าเอกสารด้านล่างมีผู้ใหญ่ระดับสูงสุดๆ กี่คนได้อ่านแล้วจะหนาว แต่ผมไม่หนาว  เพราะรู้ว่าท่านทั้งหลายไม่กล้าแก้ไขครับ  :-) ความอุบาทว์ของกระทรวงศึกษาพิการแห่งประเทศสารขันธ์       http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2011/08/K10884235/K10884235.html ปัญหาและวิธีแก้ไขของการศึกษา ที่ไม่มีใครจัดการมากว่า 30 ปี http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2011/03/K10401230/K10401230.html เปิดกระโปรง...เอ้ย เปิดโปงกระทรวงศึกษา http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2011/04/K10455834/K10455834.html มาเปิดกระโปรง.. เอ้ย เปิดเผยจุดผิดพลาดของกระทรวงศึกษาตามที่ได้สัญญาไว้ครับ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2011/04/K10475456/K10475456.html แสงเรืองเรืองที่ส่องประเทืองอยู่ทั่วเมืองไทย คือแม่พิมพ์อันน้อยใหญ่..... http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2011/05/K10539490/K10539490.html จากคุณ : ครับผม เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 55 21:41:02

ความคิดเห็นที่ 33 อ่านแล้วเห็นใจคนอาชีพครู ขึ้นเยอะเลย จากคุณ : ณ พิชา เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 55 22:16:41

ความคิดเห็นที่ 34 เราเชื่อว่าตอนนี้ทั้งตัวผู้ได้รับการศึกษา ก็คือ นร. ตัวผู้สอน ก็คือ ครู ตัวคนภายนอกก็คือ ประชาชนที่เป็นผลผลิตมาจากการศึกษาของประเทศแห่งนี้ ทุกคนมีความคิดแบบนี้อยู่ในใจอยู่แล้ว แต่ตัว ระดับผู้มีอำนาจนี้แหละค่ะ ที่ยังเป็นกบนอกกะลา แต่โดนล้อมรั้ว เราดูช่อง โทรทํศน์ครูทางเคเบิ้ล ยังมีครูดีๆ และนำร่อง เล็กๆภายในร.ร.เรื่องการสอนแบบใหม่ของเด็กนะ บางร.ร.ดีมากเลย ครูทุ่มเทเพราะเริ่มตระหนักและเป็นคนที่ใกล้ชิดผู้เรียนมากที่สุดว่า เดี๋ยวเนี้ยยย ครูสอนไปเถอะ น่าเบื่อนร.ก็ไหลออกทะลุหูคืนครูไม่ถึงชม. แต่การสอนมีคุณภาพแบบใหม่ นร.เป็นศูนย์กลาง มันก็คงได้แค่เฉพาะในกลุ่มนั้น ไม่ได้ขยายกว้างทุกร.ร. ดิฉันเชื่อว่า พวกเขามีความคิด หรือทัศนวิสัยการศึกษาดีๆจากต่างประเทศเยอะนะ แต่ไม่ยอมนำเอามาปฏิรูปอย่างจริงจัง มัวแต่ติดอยู่แต่รั้วกัน ไปแก้ที่ตัวข้อสอบให้นร.คิด วิเคราะห์มากขึ้น แต่กลับไม่สอน การคิด วิเคราะห์ให้นร. ท่องเป็นนกแก้วนกขุนทอง ดังนั้นสถาบันแต่ละที่จึงต้องปฏิรูปเอง มหาลัย ร.ร.ชั้นนำ ก็ต้องพัฒนาศักยภาพให้มีความน่าเชื่อถือ ให้เด็กอยากเข้ามาเรียน เพราะเชื่อว่าถ้าเขามาแล้วจะได้รับความรู้อย่างสูงสุด นำไปสู้ ร.ร.หรือสถาบันกวดวิชา บทความ กระทู้ ความคิดเห็น ออกมาตลอดทุกปีๆ ทั้งบ่น เพลีย ระอา ว่ากล่าว ด่าทอ สารพัด ... ทุกครั้งที่มีข้อสอบหรือนร.ม.6 สอบเพื่อเข้ามหาลัยเสร็จ แต่เราก็ได้แค่ แบ่งบันกันในโลกออนไลน์ หรือ ถ้าโลกความจริงก็มีงานสัมมานาวิชาการ แต่ ถามว่า ??? มีใครเคยนำเอาไปปฏิบัติไหม ??? ก็ไม่ !! มีแต่ทฤษฎีมากมาย เพราะเราไม่มีอำนาจ....คนที่มีอำนาจ เขาก็ไม่ทำ ก็จงยอมรับสภาพร่วมกันต่อไปทุกปีค่ะ แก้ไขเมื่อ 22 มี.ค. 55 02:42:40 จากคุณ : may_kitty เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 02:40:03

ความคิดเห็นที่ 35 เราค่อนข้างเห็นด้วยกับนโยบายนี้นะคะ เพราะการให้เด็กเรียนไม่ผ่าน ถือเป็นการสร้างปมด้อยกับอนาคตของชาติอย่างมาก การเรียนสำหรับดิฉันก็เพื่อให้รู้จักการเข้าสังคม รู้จักทำงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จตามกำหนด รู้จักการทำงานร่วมกับคนอื่น ถ้าแค่สอบไม่ผ่านแล้วให้ศูนย์เลยนี่ เด็กจะรับรู้ความอบอุ่นความเมตตาได้จากไหนอีกคะ เพราะที่เด็กเป็นแบบนี้ ขาดซ่อมสามครั้ง ไม่มาซ่อม หรืออื่นๆ อาจมาจากความอบอุ่นจากที่บ้านไม่ดีพอ ที่บ้านมีปัญหา พ่อตบตีแม่ แม่ติดพนัน บ้าผู้ชาย หรือมีปัญหากับเพื่อน แฟน ใครๆ ก็อยากมีอนาคตดีๆกันทั้งนั้นแหละค่ะ ลองมองจากมุมของเด็กที่มีปัญหาเหล่านี้ดูบ้างนะคะ อย่าไปคิดว่ามันเป็นภาระอีกเลย ดิฉันคิดว่าการสอนหรือช่วยเหลือเด็กเหล่านี้ได้เป็นเรื่องที่ท้าทายค่ะ น่าภูมิใจกว่าการสอนเด็กเรียนดีเยอะเลย จากคุณ : ป้าอุ่น เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 03:08:54

ความคิดเห็นที่ 36 "ดิฉันคิดว่าการสอนหรือช่วยเหลือเด็กเหล่านี้ได้เป็นเรื่องที่ท้าทายค่ะ น่าภูมิใจกว่าการสอนเด็กเรียนดีเยอะเลย"  ชอบครับประโยคนี้ แต่ทุกวันนี้เด็กมันเน้นเข้าสังคมกันอยู่แล้ว  เพื่อนมารร.มันถึงมา   ในเมื่อครอบครัวมีปัญหาทำไมพวกเขาต้องทำตัวมีปัญหาด้วย เด็กบางคนพ่อแม่มีปัญหา แต่ตัวเองไม่ได้ทำตัวให้มีปัญหาเลย  ผมรักเด็กพวกนี้มากๆ เด็กที่เข้ามาหา มาถามการบ้าน   ผิดกลับเด็กบางกลุ่ม  พูดดีๆก็ไม่สนใจ ด่าก็เมินเฉย  ผมก็คงช่วยได้เท่าที่ช่วยแหละ ผมก็แค่มนุษย์คนหนึ่ง ไม่ใช่เทวดา.... จากคุณ : รัตนลาวัณย์ เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 06:21:46

ความคิดเห็นที่ 37 เข้าใจคุณครูน้องใหม่ไฟแรงค่ะ   พี่สอนมหาวิทยาลัย ระบบการศึกษาระดับประถม มัธยม และมหาวิทยาลัย ในประเทศไทยมันกำลังจะล่มสลายแล้วจริงๆ วิชาไหน นักศึกษาตกเยอะ อาจารย์นั่นแหล่ะที่มีปัญหา ...มันเป็นตรรกะของคนออกนโยบายค่ะ หน้าที่ครูคือสอน สั่ง อบรม แต่ห้ามว่า ห้ามทำให้เด็กเสียใจ หรือเจ็บช้ำน้ำใจ ตอนนี้ พี่พูดกับนักศึกษาอย่างกับเจ้านายลูกน้องค่ะ   อาจารย์เป็นคนถูกว่าจ้าง นักศึกษาเป็นนายจ้างไง เพราะลูกศิษย์จ่ายเงินให้พี่สอน นี่คือสิ่งที่มหาวิทยาลัยอยากให้เป็น โหดไป เข้มไป เดี๋ยวไม่มีคนมาเรียน ให้คุณครูออกไปหาลูกค้านักเรียนมาเพื่อสอน เด็กอ่านไม่ได้ ก็ให้ใช้ภาพสอบแทน แล้วเมื่อไหร่เด็กมันจะอ่านได้ ให้นักเรียนเป็นศูนย์กลาง โดยไม่เอาวิธีปฎิบัติมา เอามาแต่ตำราโยนลงไปให้เด็ก บางคนบอกว่าลองเปลี่ยนระบบดูสิ ท้าทายดี คนอย่างคุณทำได้ไหม... ถ้าถามพี่...มันเน่าตั้งแต่รากแล้ว เตรียมเนื้อหาที่ต้องสอน ทำงานวิจัยให้ได้ความรู้ใหม่ ทำ ผศ. รศ. ทำเอกสาร สมศ. สมอ. SAR ISO ให้ผ่านแบบดีเยี่ยม ดีเลิศ บริการวิชาการ บริการสังคม บริการวิชาการแบบหารายได้ ภาคไหน คณะไหน มีรายได้เข้าน้อย ถูกมอง หาลูกค้าเด็กนักเรียนมาเรียนในสาขาตัวเองให้ได้ ถ้าไม่ถึงเกณฑ์ก็ยุบสาขาวิชาไปเลย พอมาเรียนต้องดันให้จบครบ ไม่งั้นไม่ผ่านเกณฑ์ตรวจ เวลาไหนมีว่างบ้าง นัดประชุม มีกรรมการทั้งหมด 20 ชุด นัดกันเข้าไปเพื่อตีความหลักเกณฑ์ที่ต้องถูกตรวจถูกประเมิน .....คนเป็นครูหนึ่งคน มันจะทำได้ทั้งหมดมั้ย... ถ้าอดทนได้ก็อดทนค่ะ อดทนไม่ได้ก็ออกไป...พี่พูดจริงๆค่ะ สำหรับตัวพี่ จะพยายามให้ถึงที่สุด รับผิดชอบในหน้าที่จนกว่าจะถึงเวลา พอครบกำหนด...ไม่เป็นแล้วค่ะ อาชีพครู กลับไปรับจ้างทำงานที่บ้านดีกว่า บางครั้งรู้สึกเหมือนตะกายในทะเล... แก้ไขเมื่อ 22 มี.ค. 55 11:14:07 จากคุณ : flower over the moon เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 11:12:35

ความคิดเห็นที่ 38 เหนื่อยใจครับ ผมเชื่อว่าเพื่อนๆที่เป็นคุณครูในนี้มีแยะมาก แต่เวลาพูดกันถึงเรื่องควรให้เด็กสอบตกไหม... กลับรู้จักมองแค่เป็นก้อนใหญ่ๆ เอาไปใส่สำหรับทุกชั้นเรียน   ตลกมากครับ คุณ "ป้าอุ่น" คห.35  ที่เห็นด้วยกับนโยบายที่ว่าต้องให้เด็กสอบผ่านได้ตลอดนั้น ผมอยากให้คุณป้าอุ่นยอมเสียเวลาไปอ่าน ความอุบาทว์ของกระทรวงศึกษาพิการแห่งประเทศสารขันธ์       http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2011/08/K10884235/K10884235.html ปัญหาและวิธีแก้ไขของการศึกษา ที่ไม่มีใครจัดการมากว่า 30 ปี http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2011/03/K10401230/K10401230.html เปิดกระโปรง...เอ้ย เปิดโปงกระทรวงศึกษา http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2011/04/K10455834/K10455834.html มาเปิดกระโปรง.. เอ้ย เปิดเผยจุดผิดพลาดของกระทรวงศึกษาตามที่ได้สัญญาไว้ครับ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2011/04/K10475456/K10475456.html แสงเรืองเรืองที่ส่องประเทืองอยู่ทั่วเมืองไทย คือแม่พิมพ์อันน้อยใหญ่..... http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2011/05/K10539490/K10539490.html นะครับ  ยอมอ่านสักหน่อย  จะเห็นว่าถ้าการศึกษาเริ่มต้นไม่ดีแล้ว  จะรื้อทำทั้งระบบน่ะมันไม่มีวันทำได้ ถ้าเด็กเขาเริ่มจากที่เขาพอจะเรียนรู้ได้  ซึ่งเป็นวัยอยากรู้อยากเห็นอยู่แล้ว เขาก็จะไม่เกลียดโรงเรียน ถ้าเขาเริ่มจากการเรียนที่ไม่ทันเพื่อน(เป็นไอ้โง่ - แรงไปไหมเนี่ย) เขาย่อมเกลียดและต่อต้านการเรียน ผมต่อสู้มาตลอดโดยตั้งวัตถุประสงค์เดียวในเบื้องต้นว่า.. เด็กที่จะสามารถผ่านชั้น ป.1 ขึ้นมาเรียนชั้น ป.2 ได้นั้น ต้องสามารถอ่านสะกดคำง่ายๆ  คิดบวกลบเลขง่ายๆได้เท่านั้น เมื่อเริ่มต้นถูก  เด็กส่วนใหญ่ก็จะเรียนต่อได้  ไม่ใช่ทำแบบทุกวันนี้แล้วไปอ้างเหมารวมเอาทุกชั้นเรียน เพราะธรรมชาติของทุกสิ่ง  ในการพัฒนานั้น ต้องพัฒนาให้เหมาะสมกับวัยเป็นช่วงๆ การให้เด็กที่ไม่มีความพร้อมไปเข้าห้องเรียนที่เพื่อนอีก 1/2 ห้องพร้อม และต้องไปเรียนหลักสูตรที่ตนเองไม่พร้อมเลย  เด็กคนนั้นจะ.....(ต่อเอาเองนะครับ) ผมว่ามันเหมือนกับการเอาลูกนกมาตัดกระดูกอ่อนปลายปีกออก   ซึ่งจะทำให้ลูกนกตัวนั้นเมื่อโตขึ้นจะบินไม่ได้เลย  แก้ไขเมื่อ 22 มี.ค. 55 15:05:56 จากคุณ : ครับผม เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 11:55:08

ความคิดเห็นที่ 39 ยังมีความเสื่อมอีกเยอะที่คุณยังไม่เห็น ลองทำงานนาน ๆ กว่านี้ 10 ปี UP แล้วจะปลงค่ะ    แล้วจะเข้าใจว่าทำไมเด็กไทยรุ่นหลัง ๆ ถึงไร้ความรับผิดชอบ ขี้เกียจ มักง่าย และไอคิวต่ำลง  ส่วนครูที่เก่ง ดี มีจรรยาบรรณ ถึงลาออกไปทำอย่างอื่นหมด จากคุณ : เด็กหญิงไข่ เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 14:02:30

ความคิดเห็นที่ 40 แถมอีกเรื่องน้องสะใภ้โดนเหมือนคุณเปี๊ยบ  ตอนเย็นตามให้นักเรียนที่อ่อนมาเรียนเพิ่มก็เลยโดนเรียกไปว่า  แถมด้วยประโยคที่ว่าไม่ต้องสอนเยอะ เดี๋ยวเด็กเรียนจบไปก็ไปทำนาแล้ว  เธอก็เลยลาออกซะเลย จากคุณ : เด็กหญิงไข่ เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 14:05:02

ความคิดเห็นที่ 41 สวัสดีครับน้อง จขกท.   ผมเป็นครูมา 28 ปีแล้ว  อยู่มัธยมตั้งแต่เป็นหนุ่มๆ  นึกย้อนหลังเหมือนตัวเองมาเขียนยังไงยังงั้น  เห็นใจกับความตั้งใจการเป็นครูที่ดีของน้องเหลือเกิน   ที่หลายๆ ท่านพูดมา  มันถูกหมดทั้งนั้นแหละครับ   แต่มันเป็นปัญหาแบบไก่เกิดก่อนไข่  หรือไข่เกิดก่อนไก่  วนลูปอยู่อย่างนี้ ปัจจุบันงานเอกสาร  และ  การประเมิน  รวมทั้่งอบรมมีมากมาย  เหมือนกินยาหลายขนาน  ยาตีกันจนวุ่นวาย   แล้วมันจะรักษาโรคการศึกษาได้อย่างไร ก่อนอื่นขอให้น้อง จขกท. เอาความตั้งใจการเป็นครูดีเป็นที่ตั้ง  แล้วก็ปล่อยวางสักหน่อย   เด็กมัธยมวัยรุ่น  โดยเฉพาะ ม.2  ม.4  เป็นวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ  เค้าต้องการคนที่เข้าใจ   เค้าอยากได้เหตุผลจากคนอื่น  แต่เวลาเค้าอยากทำอะไรห่ามๆ  เค้าไม่ต้องอิงเหตุผลเท่าใดนักหรอก ไม่ต้องตีหรือดุเค้ามากเกินไป   เพียงแต่เราฝึกตัวเองให้เป็นครูใจดี  พูดกับศิษย์ได้ทุกเรื่อง  ไม่ว่าดีหรือร้าย  ให้เด็กไว้ใจว่าเราจะไม่อันตรายสำหรับเค้า   วางเงื่อนไขบางอย่าง  ให้เค้าเดินตามที่เราอยากให้เรียนรู้   แน่นอนว่า  เราไม่สามารถสอนเด็กทุกคนให้เรียนรู้ได้เหมือนกัน  เราก็ลดเป้าหมายที่สามารถรับได้บ้าง   ไม่จำเป็นที่จะต้องสอนเด็กให้เก่งทุกคน   แต่สอนให้เค้ามีคุณธรรม  รู้หน้าที่  เด็กบางคนฉลาดแต่เกียจคร้าน  บางคนก็เข้าใจยาก  อธิบายยังไงก็คิดตามไม่ทัน   ยิ่งเด็กผู้หญิงอัตราการเรียนรู้จะดีกว่าเด็กผู้ชาย   ลายมือสวยกว่า  งานก็ส่งสม่ำเสมอ  คะแนนสูงลิ่ว  ส่วนเด็กผู้ชายยิ่งแรงกับเค้า  เค้ายิ่งหนีครู   พอดีพอร้ายหายไปเฉยๆ  ไม่เรียนต่อก็เยอะ เชื่อหรือเปล่า  เด็กผู้ชายที่เรียนแย่ๆ  พอหลุดเข้ามหาวิทยาลัยได้  เรียนดีกว่าผู้หญิงอีกนะ   ผมเป็นครูที่จำศิษย์ไม่ค่อยได้  เวลาเค้ามาทัก  มาสวัสดี  มาบอกว่าผมเป็นโน่นเป็นนี่   มันเป็นความสุขที่เราปลื้มมากมาย จขกท. พยายามเข้าเถอะครับ  หาเวลาว่างๆ  โอบไหล่เด็กๆ  คุยเล่นๆ กับเค้า  หัวเราะบ้าง  ยิ้มบ้าง   ดึงเค้ามาเรียน  อย่างน้อยเค้าอยู่ใกล้ครูอย่าง จขกท.    ดีกว่าให้เค้าอยู่ใกล้สิ่งไม่พึงประสงค์ ผมเป็นครูแก่ๆ  อยู่มัธยมขนาดเล็ก  ต่างจังหวัด  บางทีก็โดนแกล้งหยอกแรงๆ  ตีพุงบ้าง   ขัดขาให้ล้มบ้าง  แต่เด็กเค้ามาเรียนกับผม  หนีเรียนน้อยมาก  เทอมนี้ก็ทำเด็กติด 0 ไป 7 คน  แต่ไม่เป็นไร  เดี๋ยวเปิดเทอมเอาใหม่  ทุกเรื่องมันแก้ไขได้นะ   เพราะเรายุติธรรม  เรื่องใหนขาดไป  คะแนนหาย  ก็ให้เด้กทำมาส่งใหม่   เป็นกำลังใจให้ จขกท.ครับ จากคุณ : พิซซ่าไทย เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 21:36:24

ความคิดเห็นที่ 42 ขอบคุณครับ คุณพิซซ่าไทย จริงๆแล้วอ่ะผมกับเด็กซี้กันเลยละคับ  คุยกันได้ทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องเกมส์   ผมเป็นครูที่ใจดีที่สุดในโรงเรียนเลยละมั้ง  แต่ผมใจร้อน  บางครั้งเราพูดกับเขาดีๆเขายังไม่ใส่ใจ ก็ต้องมีดุกันบ้าง  เด็กที่ไม่เกเรมากส่วนใหญ่ก็ชอบผมนะ เด็กที่เกเรก็ไม่ได้เกลียดผมมาก เพียงแต่ผมเหนื่อยที่ต้องเข็นเด็กๆพวกนี้ไปให้ถึงฝั่งให้ได้ทุกคน  คาดหวังสูงแต่ผลออกมาไม่ได้ดังที่หวัง   อยากให้เด็กได้ดีทุกคน  แต่โดยเนื้องานบางครั้งก็ทำให้เราสอนได้ไม่เต็มที่ ทั้งไปอบรม ไปราชการ งานเอกสาร เยอะแยะไปหมด   วันนี้วันสุดท้ายที่เด็กมาซ่อม ผอ.เรียกประชุมต่อว่าครูที่ไม่ติดตามเด็ก (ความผิดของกรูอีกแล้ว) แล้วเด็กที่ผมให้ 0 ไป วิชาอื่นก็ 0 เหมือนกัน  อ้อ.. วันนี้ผอ.ก็ตำหนิครูนิสัยแย่ๆที่มั่วเกรดมาเหมือนกัน เด็กบางคนไม่มีตัว(คือไม่มารร.แต่ไม่ได้ทำเรื่องลาออก)หลายวิชาไม่มีเกรด  แต่ครูบางคนให้เกรด4  อันนี้ก็เพลียกับครูที่รร.ตัวเองเหมือนกัน  ผอ.ผมดีอย่างตรงที่อ่านงานเอกสารทั้งหมดของครู แล้วเขียนข้อแก้ไขให้มาแก้ด้วย เบื่อคุยเรื่องนี้แล้วละ  ผมไปเล่นเกมส์คลายเครียดดีกว่า เด็กๆรอเพี๊ยบ 555 จากคุณ : รัตนลาวัณย์ เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 21:52:51

ความคิดเห็นที่ 43 อ้าว  นึกว่าคุณครูรัตนลาวัณย์  ไปทำงานนี้ซะอีก  อิอิ --------งานประกันคุณภาพ-------- http://rpg29.wikispaces.com/%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E จากคุณ : ครับผม เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 23:09:11

ความคิดเห็นที่ 44 ระบบการศึกษาไทยมีแต่แย่ลง ตอนเด็ก ๆ ย่าเป็นผช.ผอ รร.รัฐบาลประถมเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง อยู่เขตกทม.นี่แหละ แต่ไกลปืนเที่ยงมาก ต้องนั่งสามล้อจากปากซอยเข้าไปเท่านั้น เพราะทางแย่มาก ย่าขับรถเข้าไปไม่ได้ (จำได้ว่าย่าขับเฟียซคันเล็ก ๆ ที่จมโคลนได้เลย ถ้าเอาเข้าไป) เด็กนร.บางคนจนมาก ๆ ไม่มีเงินกินข้าวกลางวัน ครูที่รร.ใจดีกันมาก บริจาคเงินกันไว้ทำกับข้าวให้เด็กพวกนี้กิน (จำได้ว่า ไปกี่ที ๆ ก็เห็นว่า เป็นข้าวกับแกงจืดไข่น้ำ) มารู้ทีหลังว่า มันประหยัด แล้วยังเหลือใส่ห่อให้เด็กไปกินที่บ้านได้ด้วย จำได้ว่า รัฐบาลให้เงินช่วยเด็กพวกนี้น้อยมาก ๆ (ถ้าครูไม่บริจาคช่วย หรือคนแถวนั้นไม่เอาผักมาช่วย) เด็กพวกนี้ก็คงไม่มีข้าวกินจนเรียนจบได้ ต่อมาเรื่องให้เกรด 0 อยากบอกว่าให้ ๆ ไปเถอะคับ มันไม่ได้เป็นปมด้อยอะไรเด็กหรอก น้องชายแท้ ๆ เราเอง เรียนซค. ได้ 0 ตั้งแต่ป.1-ป.6 (แบบ0 เกือบทุกตัวเลย) ตอนนี้ก็ทำงานเป็นนายแบงค์เงินเดือนดีไปแล้ว การที่เห็นลูกได้คะแนนน้อย ๆ พ่อแม่จะใส่ใจมากขึ้น น้องเราได้เรียนพิเศษการบ้านตั้งแต่เด็ก แต่ไม่มีใครมาสอนเราเลย ขนาดใส่ใจสุด ๆ น้องเราก็ยังเกรดต่ำกว่า 1 จนจบม.ปลาย ซึ่งไปซื้อของให้รร.เยอะมาก ทำให้จบออกมาเป็น 2 กว่า ๆ (555+) แต่น้องเรากลับบอกว่า ดีเนอะที่รร.ให้สอบตก เพราะไม่งั้นคงนึกว่าตัวเองฉลาด (น้องเราเก่งคอมมาก โดยไม่ต้องมีใครสอนเลย ทำได้มาแต่เด็ก ๆ เลยทีเดียว) พอไปเรียนวิทย์คอม มหาลัยรัฐเข้า ก็ได้แค่ปีเดียว แน่นอน รีไทร์ เพราะน้องเราเก่งแต่คอม วิชาสายวิทย์อย่างอื่นไม่ได้เลย (อันนี้เป็นระบบล่มสลายของระดับมหาลัย) เรามีเพื่อนอีกคนที่เก่งเล็กมาก ๆ จำได้เลยว่าคำแนนเอ็นท์เลขมัน 97 เลยทีเดียว (แต่วิชาอื่นไม่ถึง 30 เลย) มันเป็นคนที่ตอนเรียน ครูจัดว่าเป็นเด็กเรียนช้า (เพื่อนเราตกเลขสมัยมัธยมตลอด) มารู้ตอนม.ปลายว่าเป็นอัจฉริยะทางคณิตศาสตร์ (ม.6 เข้าไปแล้ว) คือคำนวณเลขที่เราต้องเขียนวิธืทำยาว ๆ ในกระดาน มันทำในใจได้ แต่สิ่งที่มันทำไม่ได้ คือเขียนอธิบายที่มา (นี่คือเหตุผลที่ตกเลขมาตลอด) ครูคนที่รู้ มาจากโณงเรียนนายน้อย มาสอนพิเศษติวเข้ามหาลัยให้ที่รร. แต่กว่าจะรู้ มันก็ไม่เคยได้รับการพัฒนาด้านนี้เลย (ล่มสลายของระดับมัธยม) เราไม่เคยเป็นครูแต่คลุกคลีกับการศึกษามากมาย เพราะย่าเป็นครูรร.รัฐบาล ตา ยาย แม่ ป้า เป็นครู และอาจารย์ เห็นความแย่มาแต่ไหนแต่ไร ครูที่รร.ยายเรา ตอนเด็ก ๆ เราเคยไปนั่งฟังเค้าสอน (ประะถม) ครูสอนนร.อ่านภาษาอังกฤษผิดไปหลายคำเลย เคยไปฟังครูสอนเลข ที่พอเด็กถามลึก ๆ ก็ตอบไม่ได้ พูดวนไปวนมา (เรานั่งฟังอยู่หน้าห้อง เข้าใจคำถามเด็ก แต่ไม่เข้าใจคำตอบครูเลย) เลยรู้ว่ามีครูไม่น้อย ที่ไม่ได้รู้จริงในสิ่งที่สอนอยู่ แต่เราไม่ได้โทษครู เพราะเรารู้ว่าหลาย ๆ คนถูกให้ไปสอนวิชาที่ไม่ได้จบมาสายนั้น แต่ผู้บริหารดันคิดว่า...แค่เด็กประถม ใครไปสอนก็เหมือนกัน... สรุป...โอ๊ย...ใครช่วยเอาคนมีความรู้ด้านการศึกษาแบบคนปกติ ไม่ใช่พวกล้ำ ที่ไม่แก้ปัญหาที่ต้นตอ แต่ไปขยายปัญหามาเป็นผู้บริหารกระทรวงศึกษาทีได้มั้ย ปล.เขียนยาวที่สุดในรอบหลายปี จากคุณ : sanow เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 55 07:09:34

ความคิดเห็นที่ 45 . O แด่..เธอผู้พายเรือ...O O แว่วยินคลื่นน้ำฟาดเสียงกราดเกรี้ยว กลางค่ำคืนเปล่าเปลี่ยว..กรากเชี่ยวไหล เห็นแผ่นผืนน้ำพลิ้วเป็นริ้วไป ล้อลมไหววาดคลื่นอยู่ครื้นเครง O เกลื่อนฟ้านั้น..จันทร์ดาวแสงพราวพร่าง แสนไกลห่างมีสิทธิ์เพียงพิศเพ่ง เสียงฟองคลื่นโถมถั่ง..ล้อวังเวง แทนพาทย์เพลงกล่อมคืนให้ตื่นตัว O โครมครืนเสียงคลื่นน้ำในค่ำดึก โหมแรงฮึกเหิมบนความหม่นหลัว เรือลำน้อยหนึ่งลำในค่ำมัว คลื่นทิ่มแทงสั่นรัวไปทั่วลำ O ฝ่าไปบนคลื่นน้ำ, เสียงจ้ำพาย- พาเรือว่ายแหวกคลื่นผ่านคืนค่ำ จึงเห็นสองมือเรียว..ถูกเคี่ยวกรำ- กลางสายน้ำวาดพาย..อยู่ท้ายเรือ O เห็นเธอทอดสายตา..มองหาฝั่ง เกลียวคลื่นคลั่งโถมแทง..ก็แรงเหลือ พาย..คัด..วาด..ค้ำ..หนุน..คอยจุนเจือ ด้วยหยาดเหงื่อ..ใจแกร่งสู้แรงน้ำ O วาดลำเรือลอยฝ่า..ถึงท่าเทียบ ก้าวก็เหยียบย่างหาอยู่คลาคล่ำ เท้าคู่น้อยหนีบนอบอยู่รอบลำ รอพายจ้ำจ้วงอยู่เสียงกรูเกรียว O พาเรือน้อยลอยลำ..พายจ้ำจ้วง ผ่านทุกช่วงจังหวะ..น้ำชะเชี่ยว เห็นเธอวาด..พายค้ำ..เรือลำเรียว อยู่กลางสายชลเปลี่ยว..อย่างเดียวดาย O จนเรือโยนลำยก..แล้ววกต่ำ ก่อนวูบด่ำดิ่งไปน่าใจหาย ฝ่าน้ำเชี่ยวคลื่นซัด..มือคัดพาย- อยู่ที่ท้ายเรือนั้นอย่างมั่นคง O มือน้อยน้อยเกาะเกร็ง..ตาเพ่งพิศ มองสู่ทิศสำหรับการรับส่ง มองมือวาดพาย..คัด..ก่อนงัดลง แววตาบ่งบอกรู้..มือ-ผู้ใด O โอ..แววตาวับวาว..แสน-กร้าวแกร่ง รอจ้วงพายทิ่มแทงสู้แรงไหล- อันกรากเชี่ยวของน้ำอยู่ร่ำไป หวังเพียงได้พาคน..ข้ามพ้นน้ำ O งามยิ่งงาม..ก็ระยับอยู่กับโลก ปรุงปรนหอมบ่ายโบกโลมโลกต่ำ เมื่อปรารมภ์งดงาม, ทุกความ..คำ- ย่อมยกงามขึ้นย้ำเป็นธรรมดา O มือเรียววาดพาย-วนกลางชลเปลี่ยว ทุกส่วนเสี้ยวใจรู้..ย่อมรู้ว่า- คลื่นสาดซัดโหมหนัก..กลางมรรคา ต้องหัวใจแกร่งกล้าไม่ล้าโรย O ร่างน้อยน้อยนั่งมองตาจ้อง-เพ่ง ใจคร่ำเคร่งเรี่ยวแรง..ก็แห้งโหย แม้นคลื่นน้ำลมโลก..คอยโบกโบย ผ่านพ้นโดยมือเรียว..คอยเคี่ยวกรำ O ปีแล้ว..และปีเล่า..ที่เจ้าเป็น ฝ่าร้อยเข็ญ..พันโศกแห่งโลกต่ำ ด้วยจิตด้วยสำนึก..งามลึกล้ำ พาย..งัด..ค้ำ..เรือน้อยล่องลอยไป O ละเที่ยวพาย..จ้วงจ้ำ..ฝ่าน้ำเชี่ยว ค่อยค่อยเคี่ยวกรำสอน..อาทรให้- ลูกศิษย์น้อยคล้อยหลัง..สู่ฝั่งไกล ด้วยน้ำใจไหลเชี่ยว..ด้วยเรี่ยวแรง O พายเรือน้อยลอยล่อง..ฝ่าฟองคลื่น เสียงโครมครืนก้องรัว..อยู่ทั่วแหล่ง ด้วยสองมือคัดท้าย-วาดพาย..ทะแยง พาหัวเรือทิ่มแทง..ถ้วนแหล่งน้ำ O คัดท้ายพายเรืออยู่..เพื่อผู้อื่น ฝ่ากระแสลมตื่น..เกลียวคลื่นคร่ำ- ครวญระงมห่มห้อม..อยู่ล้อมลำ- เรือน้อยคอยพลิกคว่ำ..จมลำเรือ O ภาพเด็กน้อยจำพราก..พ้นฟากฝั่ง มือเรียววาดพายยัง..อีกฝั่งเพื่อ – รับส่งอีกทุกรุ่น..ช่วยจุนเจือ- ภาพงดงามให้หลงเหลือ...ในแผ่นดิน..! . . จากคุณ : ... (สดายุ...) เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 55 09:04:33

ความคิดเห็นที่ 46 ชื่นชมความเห็นที่ 44 ครับ จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 55 11:37:13

ความคิดเห็นที่ 47 น้องชายเป็นครูมัธยม เครื่องดนตรีแทบไม่มี ที่มีก็รอซ่อม   ชุดแต่งกายนางรำ ก็ไม่มี แม่เราต้องออกเงินซื้อเครื่องแต่งตัวให้  พร้อมกับ ไวโอลิน 4 ตัว จากคุณ : ข้าวเหนียวเขาวง เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 55 13:14:35

ความคิดเห็นที่ 48 ไม่ได้เป็นครู แต่ห่วงประเทศไทย... สิ่งที่คิดว่ามันผิดปกติของระบบการศึกษาไทย(ในมุมมองของประชาชนคนหนึ่ง) 1.ผู้บริหาร(ที่มีอำนาจบังคับสั่งการ)การศึกษาไม่รู้ว่าหวังดีต่อประเทศจริงหรือเห็นแก่ตำแหน่งที่มีผลประโยชน์? (งบกระทรวงนี้มันน้อยนักนี่...นี่ขนาดเอาทบวงมหาวิทยาลัยมารวมด้วยแล้วนะ ฮ่าฮ่า) 2.ผู้บริหาร(ที่มีอำนาจบังคับสั่งการ)การศึกษาไม่รู้ว่ามองเห็นปัญหาจริงๆ?(หรือแกล้งไม่เห็นเพราะไม่ใช่เรื่อง...ของตัวเอง) 3.ผู้บริหาร(ที่มีอำนาจบังคับสั่งการ)การศึกษา ไม่รู้ว่ามีความสามารถที่จะดูแลบริหารหรือรู้จริงในเรื่องที่ตนเองต้องรับผิดชอบแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า? (คนใหญ่ระดับนั้นจบอะไรมาล่ะ...ดร.มหาลัยห้องแถวมั้ง) 4.ผู้บริหาร(ที่มีอำนาจบังคับสั่งการ)การศึกษา ไม่รู้จักคำว่า "มาตรฐาน" หรือเปล่า? (จึงปล่อยให้เด็กที่เรียนไม่มีความรู้ตามมาตรฐานห้ามติด 0 ห้ามซ้ำชั้น) 5. หรือผู้บริหาร(ที่มีอำนาจบังคับสั่งการ)การศึกษา กลัวว่าถ้าพัฒนาการศึกษาให้คนในประเทศนี้ฉลาดมากๆ แล้วตนเอง(รวมทั้งลูกหลานเหลนโหลน)จะไม่ได้อยู่ในอำนาจต่อไป...น่าสงสารจังประเทศไทย จากคุณ : สิริธีรีน เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 55 13:21:24

ความคิดเห็นที่ 49 นี่คือสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ตัดสินใจไม่มีลูก ระบบการศึกษา รวมถึงสภาพสังคมปัจจุบันที่เป็นอยู่และมีแนวโน้มน่าตื่นเต้นกว่านี้ในอนาคต โดยที่ไม่มีใครสามารถทำอะไรสิ่งที่เกิดขึ้นได้ กลัว... ไม่อยากให้คนที่เรารักที่สุดในชีวิตต้องประสบกับความเจ็บปวดตลอดชีวิต ดังเช่นตัวเอง ยังเชื่อนะว่าสังคมยังมีคนที่พยายามอยู่ ขอเป็นกำลังใจให้ และหากมีโอกาสก็จะเข้าไปเป็นกำลังในการเปลี่ยนแปลง แต่ตอนนี้ ... เหนื่อย ... จากคุณ : แบร์วิชสีฟ้า เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 55 19:49:33

ความคิดเห็นที่ 50 ผมมองไปถึงต้นตอของปัญหา จากที่ผมเห็นเพื่อนๆผม ไม่รู้จะไปทำอะไร เรียนอะไร ถึงไปเรียนครู พวกเรียนเก่งๆ ไปเรียนหมอ วิศวะ ไม่มีใครอยากเป็นครู เพราะเงินเดือนมันน้อยมาก ทั้งที่เป็นแม่พิมพ์ ของชาติ แล้วถ้าเราเพิ่มเงินเดือนครู ให้เท่าหมอ วิศวะ ไปเลย ทีนี้ใครๆก็อยากเป็นครู แล้วคัดเอาคนดีที่มีคุณภาพ อีกสักสิบปีเราก็มีครูที่เก่งๆ ระดับหัวกะทิมากขึ้น แม่พิมพ์ดีขึ้น ระบบมันน่าจะดีขึ้นไปด้วย นักเรียนก็น่าจะได้ประโยชน์ ประเทศไทยก็น่าจะดีขึ้นไปด้วย จากคุณ : jacky2578 เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 55 03:17:51

ความคิดเห็นที่ 51 อยากด่าครูครับ ครูรุ่นปัจจุบันนะครับ ไม่ใช่ครูรุ่นผม แต่ถ้านึกดูดีๆ ทุกสิ่งย่อมมีที่มา  ครูรุ่นปัจจุบันมี "งาน" อะไรหรือครับ  ถึงมีเวลา"สอนเด็ก" น้อยลง   [ Quote จาก จขกท ... แล้วเวลาของผมก็ไม่ค่อยมี  แค่งานโรงเรียนก็หนักอึ้งแล้วครับ  "ครู"ไม่ได้มีภาระแค่งานสอนนะครับ  เข้ามาเถอะแล้วจะรู้  ... ] เพราะฉะนั้น ผมไม่ด่าครูรุ่นนี้แล้วดีกว่า   ขอด่าไอ้คนที่กำหนดนโยบาย ดึงครูออกจากห้องเรียนนี่แหละ  ไม่ว่าจะต้องเขียนpaper ผลงาน นิเทศก์โรงเรียน ทำบอร์ด  เข้าแถวต้อนรับผู้ใหญ่ ฯลฯ   ความคิดของพวกคุณน่ะ มันทำลายอนาคตชาติ จากคุณ : บริบูรณ์ 22 เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 55 11:25:39

ความคิดเห็นที่ 52 สนับสนุน จขกท. ให้ทำหน้าที่ให้เต็มที่กว่าเดิมไปเป็น 2 เท่าค่ะ เกิดเป็นคนควรมีเจตนาดี หวังดีต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ พวกเหลือบไรทางการศึกษามีอยู่ทั่วไปตั้งแต่ระดับประถมถึงอุดมศึกษา แต่เราอย่าได้ท้อใจเพราะถ้าตั้งใจจะทำดีแล้วแม้คนอื่นไม่เห็น แต่เราก็ภูมิใจในความเป็นคน ในความเป็นครูที่ไม่มีใครเอาไปจากเราได้ สู้ต่อไปนะคะ จากคุณ : english muffin เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 55 12:34:45

ความคิดเห็นที่ 53 ข้อตกลงเบื้องต้น...เราหมายถึงส่วนใหญ่ในสังคมนะ เราล้วนต่างก็เคยผ่านชีวิตที่มีสถานะเป็นเด็กนักเรียนมาแล้วทั้งนั้น นับตั้งแต่อนุบาลจนถึงมัธยมปลายร่วม15ปี 15ปี ที่ต้องไปโรงเรียน5วัน/สัปดาห์ x 9 เดือนเป็นอย่างน้อย (อีก3เดือนปิดเทอม) เราต่างก็มีครูในดวงใจที่จดจำท่านได้อยู่เสมอ ครูท่านนั้นมักจะเป็นครูที่เคร่งครัด ทุ่มเทในการสอน (เราเองเคยเป็นศิษย์ประเภททำข้อสอบผิด1ข้อ ปั่นจักรยานไปถามครูตั้งแต่เช้าว่าผิดได้ยังไง) แต่แปลก..เมื่อต้องเลือกเข้าอุดมศึกษา..เรากลับไม่เลือกเข้าคณะศึกษาศาสตร์เพื่อจบไปเป็นครู...15ปีในรั้วโรงเรียนไม่ทำให้เด็กส่วนใหญ่มีความประทับใจวิชาชีพครูเพียงพอที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้เรียนเพื่อเป็นครู ความเป็นจริงก็คือ เพื่อนๆที่เรียนศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยครูในสมัยนั้นหรือพี่ๆก่อนหน้านั้นก็เถอะก็คือ คนที่ผลการเรียนปานกลางค่อนไปทางอ่อน คนที่เรียนเก่งก็เลือกแพทย์ วิศวะ ทันตะ ฯลฯ ทั้งๆที่แพทย์ทำงานกับเชื้อโรคที่มาพร้อมกับคนไข้  วิศวะต้องอยู่กับโครงสร้างที่เสี่ยงต่ออันตราย ทันตะอยู่กับขี้ฟันคนไข้ เหตุผลน่าจะเป็นเพราะ สถานะทางสังคม และค่าตอบแทนที่ได้รับ ครูสมัยนั้นเงินเดือนน้อย ไม่มีหนทางหารายได้พิเศษ ผ่านไป....คนรุ่นที่ผลการเรียนปานกลางค่อนไปทางอ่อน  รับราชการครู..มีความเจริญก้าวหน้าตามสายงาน  อย่างน้อยๆตอนนี้ก็คือ ผู้อำนวยการสถานศึกษาต่างๆ พอแค่นี้ก่อนนะ..ขอตัวไปทำงานต่อก่อน  แล้วค่อยเข้ามาต่อ   จากคุณ : mangpongja เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 55 15:37:14

ความคิดเห็นที่ 54 ต่อ... เวลาที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงในระบบการศึกษาเยอะมาก ทั้งการปรับระดับที่มาพร้อมค่าตอบแทน ชนิดที่เรียกว่า ก้าวกระโดด  การให้มีการสอบใบประกอบวิชาชีพ มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย กับความเป็นอยู่ของครู ช่วงที่ประเมินนั้น ครูเครียดจากการทำคศ3 เยอะมาก การเงินแพร่สะพัด ทั้งจากการจ้างทำ จ่ายใต้โต๊ะเพื่อให้กรรมการอ่านงานเร็วขึ้น  ครูหลายคนกู้หนี้ยืมสินมาทำ หลายโรงเรียนไม่ให้เด็กไปโรงเรียนเพื่อให้ครูมีเวลาทำpaper มีการเรียนโทแบบหลักสูตรเร่งรัด จ่ายครบจบแน่ ใช้เวลา 1ปีนิดๆ  อืม...การศึกษาคือการลงทุนจริงๆ ครั้นเมื่อมีการได้รับเงินตกเบิก ..ครูทั้งหลายก็แสดงออกถึงความฟุ่มเฟือยกันใหญ่ ..รถป้ายแดง 10คัน ตีกว่าเป็นของครูสัก 6 คัน ที่เหลือเป็นของอบต. วงเงินกู้ขยายเพดานขึ้นไปอีก คุณครูทั้งหลายเริงร่า แข่งกันในแวดวงตัวเองว่าใครได้ ใครยังไม่ได้ แต่..อนิจจา...ถ้าครูมองสายตาวิชาชีพอื่นๆในสังคมที่มองดูครูก็คงเห็นสายตาที่แสดงถึง........ความสมเพช.... เวทนา  เหมือนเดิม .........ไม่ได้ดีขึ้นกว่าเก่าเลย   จากคุณ : mangpongja เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 55 16:18:43

ความคิดเห็นที่ 55 มุ่งมั่น vs ปล่อยวาง ถัวๆให้สมดุลกัน จะได้ไม่อึดอัดใจมากนักครับ ให้กำลังใจครับ จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 55 16:44:45

ความคิดเห็นที่ 56 นโยบายที่ดูเหมือนจะดีต่อระบบการศึกษา แต่มาเจอครูหัวหมอ ก็จอดโดยไม่ต้องแจว เพราะผลดีของมัน ตกอยู่ที่ครูระดับบริหารทั้งนั้น ยกตัวอย่าง 2รื่องก็แล้วกัน 1.ประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา ไม่ให้เด็กตกซ้ำชั้น นโยบายเพื่อให้ครูได้ทุ่มเทสอน ช่วยเหลือเด็กให้ได้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์ของวิชานั้นๆ แต่ผอ.ก็สั่งห้ามครูไม่ให้เด็กตก เพื่อให้KPIของโรงเรียนตนเองสวยหรู และรายงานตามสายการบังคับบัญชาขึ้นไปเป็นทอดๆว่าผลการศึกษามันดีจริงๆ ระดับกำหนดนโยบายก็เชื่อซะงั้นว่าจริง  ทั้งๆที่ชาวบ้านร้านค้าเขารู้ทั้งนั้นว่าผลการศึกษาที่ตกกับเด็กมันห่วยแตก  เด็กอ่านหนังสือไม่ออก คิดเลขไม่ได้ แต่สามารถเลื่อนชั้นขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ได้รับการแก้ไข  เด็กปัญญาอ่อนยังมีชื่อเรียนในระดับมัธยมทั้งๆที่ความสามารถทางการเรียนของเขาประมาณประถมศึกษาปีที่ 4 แต่ผอ.ไม่ให้เอาชื่อออกเพราะจำนวนนักเรียนเป็นKPIอย่างหนึ่งของการเป็นผอ. 2. การทำเอกสารรับการประเมินที่อยู่บนพื้นฐานของการหลอกลวง เริ่มต้นที่หลอกตัวเอง หลอกคณะกรรมการผู้ประเมิน  หลอกผู้บริการทางการศึกษาระดับสูงขึ้นไป  คนเราหลอกคนอื่นได้แต่หลอกตัวเองไม่สนิทหรอก ถ้าครูมองตนเองไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงไม่สอดคล้องกับสังคม ครูก็เหมือน หลุมดำที่ถมไม่เต็ม ทั้งๆที่ความเป็นจริง ผู้ที่จะสามารถประเมินโรงเรียนได้อย่างตรงไปตรงมาอีกกลุ่มหนึ่งก็คือ ผู้คนในชุมชนนั้นๆที่ลูกหลานของเขาเป็นลูกค้าของโรงเรียน ผู้ใช้บริการจริงๆของโรงเรียน เขากลับไม่มีส่วนร่วมในการประเมิน จากคุณ : mangpongja เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 55 17:08:14

ความคิดเห็นที่ 57 จึงเป็นคำตอบ(เพียงส่วนหนึ่ง)ที่ว่า ระบบการศึกษาไทย..ทำไมมันจึงห่วย..และนับวันที่จะห่วยลงไปเรื่อยๆ เพราะคนที่มาเป็นครูในอนาคตซึ่งเป็นนักเรียนในปัจจุบันก็ยังไม่ศรัทธาในระบบการศึกษาในระบบเลย เห็นได้จาก.. นักเรียนเรียนพิเศษกันอย่างบ้าคลั่ง ครูสอนพิเศษมีทั้งที่เป็นครูในระบบที่รวมกลุ่มกันมาตั้งสถานที่รับสอนพิเศษในวิชาของตัวเอง(แล้วเวลาราชการทำอะไรกันจ้ะ)  ส่วนใหญ่ ครูสอนพิเศษที่เป็นเรื่องเป็นราวมาจากกลุ่มคนเรียนเก่งที่ไม่ใช่ครูในระบบ มาสอนในวิชาที่ตนเองถนัดอย่างเป็นล่ำเป็นสัน บันไดที่ติวไม่เคยแห้ง นี่ถ้ามีกฏว่า ไม่ต้องเรียนในเวลาก็สามารถมาสอบจบได้ สงสัยโรงเรียนทั้งหลายคงร้าง ครูตบยุงเล่นในเวลาราชการแล้วมาสอนพิเศษในตอนเย็นแทน แล้วไง..ตอนนี้ค่าตอบแทนครูสามารถพูดได้ว่าทัดเทียมและล้ำหน้าวิชาชีพอื่นไปแล้ว   มีแนวโน้มเด็กเรียนเก่งจะมาเลือกเรียนครูหรือยังล่ะ ก็ยังไม่...เหตุการณ์ก็ยังเหมือนเดิม คำตอบอยู่ที่ครูทั้งหลายนั่นแหละ จะปล่อยให้นโยบายการศึกษาที่ถูกกำหนดโดยข้อมูลที่เป็นเท็จ  อยู่ต่อไปอีกหรือ  คนกำหนดนโยบายก็อาศัยข้อมูล(ที่เท็จทั้งเพ)จากแต่ละสถานศึกษาส่งขึ้นไป   มันก็เหมือนเราขว้างบุมเมอแรง ขว้างออกไปยังไงก็กลับคืนมายังงั้น แล้วท่านก็ได้แต่ร้องแรกแหกกระเฌอไปเรื่อยๆ  กรรมของเวร จบดีกว่า อ้อ!เราชอบนโยบายแจกแทบเล็ตแฮะ ต่อไปนักเรียนป.1 จะได้ออกเสียงภาษาอังกฤษได้ถูกต้องซะที   ................เฮ้อ! ตบหน้าครูดังฉาดเลยนะเนี่ย ไม่รู้สึกบ้างเหรอคะ จากคุณ : mangpongja เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 55 17:30:05

ความคิดเห็นที่ 58 โอ่ คคห.ที่ 54 แร็งไปไหมครับ.. แต่นั่นมันก็เป็นความจริงน้อ.. เย็นวันนี้ข้างๆบ้านเดิมของผม..(บ้านแม่)มีญาติจัดอาหารเลี้ยงญาติ ผมเลยถามว่า น้องเขาเลี้ยงอะไร(อายุราวๆ 45 ปี) ญาติตอบว่า ได้ข่าวว่า เป็นครูได้เลื่อนขึ้น..เลยเดินไปคุยมาครับ ได้ความดังที่คาด..ได้เลื่อนเป็น คศ.๓ /เลยถามว่า แหมได้กันจังเลยน้อ ญาติๆ เขาตอบว่า ผอ.เขาบังคับให้เขียน แล้วหาช่องวิ่งเต้นให้ เพราะจะให้ทั้งโรงเรียนได้หมด เพื่อเป็นศักดิ์ศรี ทีนี้วิ่งเต้นอย่างไร คงไม่ต้องบรรยาย..     ญาติอีกคน..ได้ คศ.๓ มาหกเจ็ดเดือนแล้ว..ป่านนี้ยังไม่ได้เงินตกเพิ่มค่าวุฒิ โทรไปถาม เขาก็ตอบว่า กำลังทำเรื่องเปลี่ยนแปลงงบ..     แล้วมันจะเปลี่ยนมาจากไหน ถ้าไม่เปลี่ยนมาจาก ค่าอาหารกลางวัน ค่าซ่อมห้องเรียน ห้องสมุดนักเรียน..ตอบหน่อยดิ๊   วันนี้ ..ถ้าสอบถามกันไป ทุกคนก็จะต้องตอบเหมือนเดิมว่า "คนเรียนเก่งก็ยังเลือกเรียนแพทย์ วิศวะสถาปัตย์ ทันตะ นิติ วิทยา ฯลฯ เหมือนเดิม. ไหมคุณบอกว่า เงินเดือนสูงๆ จะล่อเด็กให้เข้ามาเรียนไง..มันไม่ได้ล่อเด็กให้เข้ามา เพราะเขารู้ว่ามีปัจจัยอื่นที่ไม่น่าเป็นครูอีกเยอะ ..ทีี่สำคัญคือความเน่าเฟะ งี่เง่าของผู้บริหารฯทุกระดับนะครับ แก้ไขเมื่อ 24 มี.ค. 55 17:56:48 จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 55 17:53:12

ความคิดเห็นที่ 59 (เดี๋ยวต้นสัปดาห์หน้าจะขอตั้งกระทู้โจมตีการศึกษาอีกสักเรื่อง ... จะได้ช่วยกันจับ "ปักหมุด") จากคุณ : เศียรนาคา ... เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 55 18:03:03 A:125.24.13.136 X: TicketID:255126

ความคิดเห็นที่ 60 ผมคุยกับเพื่อนที่เป็นครู  เขาเห็นต่างจากผมอ่ะครับ เขาบอกว่าระบบมันดีนะ  แต่คนที่เอาระบบไปใช้เนี่ยแหละ  ทำให้ระบบมันเน่า  เพราะฉะนั้นเราอย่าไปทำตัวเน่าเหมือนคนอื่นที่ทำให้ระบบมันเน่า   อืม  น่าคิดเหมือนกัน... จากคุณ : รัตนลาวัณย์ เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 55 18:34:40

ความคิดเห็นที่ 61 ถึง จขกท. เราไม่ได้เป็นครู แต่บอกแล้ว เราลูกครู พี่ๆน้องๆ หลานๆก็ครู แต่โชคดี พูดได้เต็มปากว่าเป็นครูที่ทุ่มเทเพื่อลูกศิษย์มาโดยตลอด แต่ก็นั่นแหละ พฤติกรรมทางสังคมอื่นๆก็เหมือนครูคนอื่นๆนั่นแหละ  เราได้แต่ภาวนาให้ครูรุ่นคูณ เป็น "ผู้นำการเปลี่ยนแปลง"มาสู่ระบบการศึกษา และ "ไม่ยินยอม" ให้ระบบห่วยๆมันกลืนคุณหายไปกับระบบ........... หรือ........คุณ"ยอม" จากคุณ : mangpongja เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 55 18:58:36

ความคิดเห็นที่ 62 ครูอย่าง จขกท นี่ ครูแบบเบ็ดเสร็จเผด็จการ ชัดๆ แค่เด็กไว้ผมยาว ก็ปรี่เข้าไปจัดการ นี่มันอาการของพวก "บ้าอำนาจ" ชัดๆ แล้วเด็กจะตอบมายังไง มันก็สิทธิ์ของเด็ก เค้าเป็นคน มีความคิดความอ่านเป็นของตัวเองเป็นนะ แล้วไง?  เด็กจะต้องตอบตามที่คุณคิดเท่านั้นเหรอ เด็กคนนั้นถึงจะเป็นเด็กดีได้ ตลก อุตส่าห์ปวารณาตัวเป็นครูที่ดีมีอุดมการร์สูงส่งแล้ว มองและเข้าใจเด็กได้แค่นั้นเหรอ? พอไม่ไ่ด้ดั่งใจ ก็โทษนั่น โทษนี่ โทษคนอื่นเค้าไปทั่ว โทษไปทุกสิ่งอย่าง ยกเว้นตัวเอง  ตัวเองดีอยู่คนเดียว หึ! ดีแล้ว อย่าไปเป็นครูเลย ไม่ใช่การเป็นครูไม่เหมาะกับคุณนะ แต่คุณนั่นแหละ ที่ไม่เหมาะกับการเป็นครูเอง ช่วยไม่ได้ แก้ไขเมื่อ 25 มี.ค. 55 05:17:52 จากคุณ : แพรเพลง เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 55 05:16:50

ความคิดเห็นที่ 63 #62 ดีแต่ว่าคนอื่นแล้วล่ะ คุณได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติรึปล่าว จากคุณ : เขียนบน Ice Cream Sandwich (kenjiwinness) เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 55 07:38:17

ความคิดเห็นที่ 64 @62 ครับผมมันแย่ เด็กทุกวันนี้มันถึงได้เป็นอย่างนี้ไง แต่ยังไงก็คิดว่าคงจะเป็นครูต่อไป  ทุกอย่างมันอยู่ที่การกระทำของเราเอง แม้ระบบมันแย่ถ้าเราไม่ได้เป็นคนทำให้มันแย่ เราก็ไม่ต้องแคร์อะไร อ้อ เรื่องผมของนักเรียน ผมขอบอกไว้ก่อนเลยนะครับ ไม่เคยตัด ได้แต่เตือนๆ เรื่องใหญ่ๆก็ให้ครูผู้ใหญ่จัดการ ผมไม่ชอบให้เด็กเกลียดผมหรอกครับ  นี่แหละเป็นส่วนที่แย่ของผม ยังไงก็จะทำหน้าที่"ครู"ให้ดีที่สุด  เด็กสมัยนี้ไม่ใช่แค่ปั้นดินให้เป็นดาวนะครับ แต่ต้องเป็นปั้นขี้หมาให้เป็นดาว จากคุณ : รัตนลาวัณย์ เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 55 09:07:55

ความคิดเห็นที่ 65 #62 นี้เขาเรียก "มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ" โอ้ แล้วกลับไปสอนลูกหลานของคุณอย่างที่คุณว่าก็แล้วกันนะครับ หึหึหึ ปล.ผมเป็นกำลังใจให้ครูทุกๆท่านที่ทำดีครับ แก้ไขเมื่อ 25 มี.ค. 55 15:44:04 จากคุณ : นายส้วม (นายส้วม) เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 55 15:41:04

ความคิดเห็นที่ 66 อ่านมาหลายความคิดเห็น ขอแสดงความเห็นในฐานะครูคนหนึ่ง จากอดีตจวบจนถึงปัจจุบันทุกนโยบายที่รัฐกำหนดมาเพื่อการศึกษาที่ดีขึ้น แต่ในทุกนโยบายที่รัฐกำหนดมาไม่ได้สอบถามทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับศึกษา ในการกำหนดนโยบายแต่ละครั้งมักจะคล้อยตามนักวิชาการศึกษาที่มีดีกรีจากต่างประเทศ ในการกำหนดนโยบายแต่ละครั้งมักจะลอกแบบที่ประสบความสำเร็จของต่างประเทศ ในการกำหนดนโยบายแต่ละครั้งมักจะเชื่อในงานวิจัยของบรรดาด็อกเตอร์ของมหาลัยดังๆ ในการกำหนดนโยบายแต่ละครั้งมักจะอ้างผลทดสอบที่ทำกับโรงเรียนสาธิตต่างๆ .............. ปัญหาที่เกิดขึ้นกับโรงเรียนส่วนใหญ่ในประเทศไทยมิได้เกิดขึ้นกับโรงเรียนสาธิตหรือโรงเรียนดังๆในเมือง ส่วนใหญ่ของนักเรียนที่มีปัญหาอ่านเขียนไม่ได้เกิดขึ้นในชนบทต่างๆทั่วประเทศ ปัญหาที่เกิดขึ้นนักวิชาการการศึกษาไม่ได้มีเข้าใจมากพอเกี่ยวกับความเลื่อมล้ำทางการศึกษาในไทย ที่นี่พอจะมองออกนะครับว่าผมพยายามจะสื่ออะไรออกมา ในฐานะของครูมัธยมคนหนึ่ง ซึ่งโรงเรียนก็อยู่ในชนบทที่ห่างไกลจากตัวจังหวัดเกือบร้อยกิโลเมตร ปัญหาที่โรงเรียนผมประสบอยู่มิได้แตกต่างจากหลายๆความคิดที่ผ่านมาเลย ที่นี่ส่วนใหญ่เด็กๆไม่ได้อาศัยอยู่กับพ่อแม่ ปัญหาแรกที่พบจากการที่เขาไม่มีครูคนแรกคอยให้คำปรึกษา เด็กจะมีความก้าวร้าว ขาดความมั่นใจ(วัดจากงานวิจัยในชั้นเรียนของผมเอง)เลยต้องหาปมเด่นอย่างอื่น เพื่อให้เพื่อนๆยอมรับ ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือการเป็นพี่ใหญ่ของรุ่นน้องในการทำผิดระเบียบต่างๆของโรงเรียน เริ่มไม่สนใจการเรียนเพราะบรรดารุ่นพี่ก่อนๆจะคอยปลูกฝังว่า"ยังไงก็จบ""ไม่จบที่นี่ก็ต่อ กศน." และก็แปลกอยู่อย่างก็คือเด็กๆกลุ่มนี้จะเป็นที่สนใจกับเด็กนักเรียนหญิงจำนวนมาก แล้วการแก้ปัญหาล่ะจะทำอย่างไรกับกรณีอย่างงี้ สำหรับผมจะแยกเด็กที่มีปัญหาเป็นระดับมากไปหาน้อยโดยจะเข้าหาเด็กเป็นคนๆไป ศึกษาถึงวิถีชีวิต ครอบครัวของเขาว่ามีความเป็นมาอย่างไรแล้วนำมาวิเคราะห์ว่าเราจุดไหนที่เราสามารถ ช่วยเด็กได้ก่อนก็จะเริ่มทำเลย จากวันแรกที่เข้าไปหาเขาจนถึงวันนี้เกือบจะ2ปีแล้วเด็กมีพัฒนาการที่ดีขึ้น ทั้งทางทัศนคติในการดำรงชีวิตและพัฒนาการทางด้านการศึกษา และนี่คือรางวัลชีวิตที่ผมได้รับจากการเป็นครูมา จะครบ 2 ปีใน พ.ค 55 นี้ บางครั้งปัญหาที่เกิดขึ้นหากเรามัวแต่คร่ำครวญไม่ลงมือทำตามกำลังความสามารถของเราที่อยู่ จากหนึ่งปัญหาก็จะทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าผมชื่นชอบเกี่ยวกับระบบการศึกษาไทยในปัจจุบัน แต่ผมเชื่อว่ามันคงไม่เลวร้ายไปมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันหรอก ขอแลกเปลี่ยนแค่นี้ก่อนครับ แก้ไขเมื่อ 25 มี.ค. 55 22:44:47 จากคุณ : หนุ่มเมืองเว เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 55 16:43:44

ความคิดเห็นที่ 67 ผมยังชอบการเรียนการสอนแบบท่องจำในสมัยผมเด็กๆ ท่องมันทุกวัน ทั้งพยัญชนะ สระ การผันเสียงวรรณยุกต์  สููตรคูณ ฯลฯ  ให้พื้นฐานแน่นก่อนดีกว่า จากคุณ : เสือดำขโมยใจ เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 55 16:59:00

ความคิดเห็นที่ 68 พี่เข้าใจน้องเลย เพราะพี่ก็เป็นครูยังไม่ถึง 3 ปี เจอแบบน้องทุกอย่าง ทั้งเด็กไม่สนใจเกรด ทั้งต้องออกแนะแนวสัญจร(เพิ่งมารู้จักก็ตอนทำงานเหมือนน้องนี่แหละ) ทั้งเด็กที่มีปัญหาบางคนยิ่งกว่าวงเวียนชีวิตซะอีก แถมเพื่อนร่วมงาน(บางท่าน)ก็ทำตัวเหมือนไม่ใช่ครู มาเกาะภาษีประชาชนกิน ผอ.โรงเรียนพี่นะเหรอ ไม่สนใจโรงเรียน เข้าโรงเรียนเดือนละไม่ถึง 3 ครั้ง ครั้งละไม่ถึง 1 ชั่วโมง ติดต่อก็ยากยิ่ง พี่ละสุดสงสารเด็กๆที่โรงเีรียนที่มีความตั้งใจจริงๆ ไว้วันหนึ่งเรามีโอกาสเมื่อไหร่ ค่อยหาทางปฏิรูประบบผู้บริหารไร้ความรับผิดชอบ และครูที่มาเกาะภาษีประชาชน แต่อยากให้น้องจำไว้ว่า จงมีความตั้งมั่น อย่าปล่อยให้ระบบกลืนกินน้องไป พี่เองก็เป็นหนึ่งในคนที่ไม่พอใจในเหตุการณ์เหล่านั้นเช่นกัน จากคุณ : rea_jam เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 55 17:28:58

ความคิดเห็นที่ 69 เคยอ่านบทกลอนบทนี้ชอบมากๆ  เลยนำมาฝากคะ   กระจกเงาเรามีไว้ส่องหน้า    รู้ได้ว่าดีเด่นเป็นไฉน ครูอยากรู้ตัวครูเป็นเช่นไร       เชิญดูเด็กที่ได้สั่งสอนมา เด็กนี้ไซร้เปรียบได้ดังกระจก   ไม่ต้องยกขึ้นมา ก็รู้ว่า ครูดีมีลักษณะล้วนควรบูชา       หรือว่าเลวนักหนาน่าอาย เอย จากคุณ : ต้นหญ้าปล้อง (ต้นหญ้าปล้อง) เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 55 19:05:51

ความคิดเห็นที่ 70 ความคิดเห็นที่ 67 ผมยังชอบการเรียนการสอนแบบท่องจำในสมัยผมเด็กๆ ท่องมันทุกวัน ทั้งพยัญชนะ สระ การผันเสียงวรรณยุกต์ สููตรคูณ ฯลฯ ให้พื้นฐานแน่นก่อนดีกว่า จากคุณ : เสือดำขโมยใจ """""""""""""""""""""""""""""""""" ผมก็เห็นด้วยเพราะว่ากว่าที่ผมจะเดินมาถึงจุดนี้ได้ใช้เวลาเดินมากกว่าคนอื่นๆ ไม่มีโอกาสได้เรียนในระบบทั้ง ม.ต้น ม.ปลาย อาศัยร่มผ้าเหลืองในบวรพุทธศาสนาท่องจำ นวโกวาท บาลีไวยากรณ์ จนกระทั่ง จบวิชาครูจากมหาจุฬา ใช้เวลากว่า 9 ปี อรรถประโยชน์จากตรงนั้นมันทำให้ผมมีวันนี้ จากคุณ : หนุ่มเมืองเว (หนุ่มเมืองเว) เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 55 20:50:16

ความคิดเห็นที่ 71 อีกปัญหาหนึ่งที่พบในโรงเรียนแถบชนบทก็คือมาตรฐานของโรงเรียนขยายโอกาส บางโรงเรียนบุคลากรยังไม่มีความพร้อม อย่าลืมว่าในโรงเรียนขยายโอกาส ความแตกต่างของช่วงอายุนักเรียนระดับประถมกับมัธยมทำให้เกิดปัญหาที่นักการศึกษา อาจจะคาดไม่ถึง เช่น พฤติกรรมของเด็กในวัยที่กำลังก้าวสู่วัยรุ่น หากครูในโรงเรียนนั้นๆ ยังไม่มีความพร้อมจะไม่สามารถดูแล แนะนำเขาได้ ยกตัวอย่างง่ายๆ มีนักเรียนในหมู่บ้านเดียวกันคนหนึ่งเรียนในโรงเรียนมัธยมอีกคนเรียน ในโรงเรียนขยายโอกาสอยู่มาวันหนึ่งคนที่เรียนใน ร.ร มัธยมบอกว่าผมไม่เรียนแล้ว เพราะเรียนเยอะ เรียนยาก ใส่รองเท้าแตะมา ร.ร ก็ไม่ได้ แบบฝึกหัดก็เยอะไม่เหมือน ร.ร ที่บ้าน(ร.ร ขยายโอกาส) ทำอย่างไรก็ได้ เรียนๆไปก็จบเหมือนกัน มันเกิดอะไรขึ้น...ผมตามเด็กไปที่หมู่บ้านถามเพื่อนเขา คำตอบที่ได้ ตั้งแต่เรียนมา ม.1 ถึง ม.2 มีสมุดอยู่ไม่กี่เล่ม วิชาที่เรียนประจำคือพละศึกษา นอกจากนั้นเรียนก็ได้ ไม่เรียนก็ได้ ถามต่อว่าเพราะอะไรถึงไม่เรียน คำตอบคือเรียนไม่รู้เรื่อง ถามต่ออีกว่าเมื่อไม่เข้าเรียนแต่ละวันไปที่ไหนเพราะถามผู้ปกครองบอกว่ามาเรียน ทุกวัน คำตอบคือไปจับกลุ่มกับเพื่อนตามที่นัดแนะกันบางครั้งก็มั่วสุมอบายมุขต่างๆ เป็นอย่างนี้ตลอดจนกระทั่งปิดเทอม นี่คือหนึ่งในหลายๆปัญหาที่นักการศึกษาในกระทรวงไม่รู้หรือบางครั้งอาจจะรู้ ไว้แลกเปลี่ยนกันอีกครั้งครับ..... จากคุณ : หนุ่มเมืองเว เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 55 21:17:15

ความคิดเห็นที่ 72 สุดท้ายฝากรูปที่แสนภูมิใจ รร.ของข้าพเจ้า จากคุณ : หนุ่มเมืองเว เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 55 22:47:43

ความคิดเห็นที่ 73 ไม่ขึ้น ลองใหม่ ...... โพสไม่ขึ้น เขาบอกไฟล์ใหญ่เกิน อดโชว์เลยเรา แก้ไขเมื่อ 25 มี.ค. 55 23:03:01 จากคุณ : หนุ่มเมืองเว เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 55 23:01:16

ความคิดเห็นที่ 74 #62 อ่านแต่คอมเม้นต์ ยังไม่ทันเห็นชื่อ ผมก็เดาถูกว่า ใครเป็นเจ้าของความคิดนี้ เตือนทุกท่านไม่ต้องไปสนใจเธอหรอกครับ ปล.จขกท.สู้ๆครับ จากคุณ : Kyo3 เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 55 00:10:15

ความคิดเห็นที่ 75 เอาคลิปที่ขึ้นกระทู้แนะนำห้องสยามมาฝากครับ http://www.youtube.com/watch?v=vh31RZ9To1M จากคุณ : นิว ชะลาล่า เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 55 01:02:00