ปีที่2 ฉบับที่ 644 ประจำวันพุธที่ 7เมษายน พ.ศ. 2542
สหัสวรรษที่3
พระนิพนธ์สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (ต่อ)
เมื่อวานนี้ผมได้นำส่วนหนึ่งของพระนิพนธ์ ของสมเด็จพระญาณสังวร มาลงเพื่อให้เห็นน้ำพระทัยที่แท้จริงของท่าน ต่อพระพุทธศาสนา ปรากฏว่า มีข้อความที่ขาดหายไป จนทำให้ผู้อ่านจับต้นชนปลายไม่ถูก เพราะถูกตัดหายไปหนึ่งหน้า ใครที่อ่านอาจจะนึกว่า"กาขาว" เขียนหนังสือ ไม่รู้เรื่อง
ผมจึงขออนุญาตนำมาลงซ้ำอีกครั้งดังนี้ครับ
"เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็มีคนอาจเอื้อมเอาพระลิขิตของ สมเด็จพระสังฆราช มาเปิดเผย ทั้งที่เป็นความเห็นที่สมเด็จท่าน ตรัสไว้กลางๆ มิได้เจาะจงอย่างไร ด้วยความเป็นห่วงพระพุทธศาสนา ในยุคคนชั่วเสื่อมศรัทธา กำลังระบาด พระเถระผู้ใหญ่ในมส.ก็รับทราบเรียบร้อย ซึ่งก็มิได้เกี่ยวข้องกับ การพิจารณากรณีธรรมกาย แต่อย่างใด
แต่คนหาเรื่องก็ยังพยายามจะสร้างเรื่อง หาเหตุ คงไม่ทราบว่า พระผู้ใหญ่ท่านพิจารณาไปเรียบร้อยแล้ว และก็แอบเอาเอกสารนี้ ออกมา เผยแพร่ อย่างมิบังควร อันอาจทำให้มีการเข้าใจผิด และเสื่อมเสียไปถึงพระองค์ท่านได้
ข้อความย่อหน้าที่หายไปมีดังนี้
"อันที่จริงเมื่อสิบกว่าปีก่อน เมื่อตอนที่สมเด็จญาณฯ ท่านยังมิได้รับตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ใครที่ไปวัดญาณฯ ในยุคนั้น จะรักท่าน ทุกคน เพราะท่านเป็นสมเด็จที่วางตัวเรียบง่าย ใครจะเข้าเฝ้า ก็ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไร และก็อ่านต่อไปได้เลย
"ตอนนั้นท่านมาดูแลการสร้างวัดญาณฯ ของท่านอย่างใกล้ชิด จนสำเร็จสวยงามเป็นที่เชิดหน้าชูตาภาคตะวันออก บางครั้งท่านก็จะเสด็จ ขึ้นไป บนศาลาหลังเล็กๆ บนภูเขา ถ้าใครอยากจะกราบก็เข้าไปกราบท่านได้ ท่านก็จะยิ้มๆ ทักทาย และถ้าเมตตา ก็จะประทานพระของขวัญ ที่ระลึกองค์เล็กๆ ซึ่งผมก็ยังได้มาองค์หนึ่ง
วันนี้ผมขออนุญาตนำพระนิพนธ์ตอนใหม่มาเล่าแทนเมื่อวาน ความจริงอยากจะเอามาลงทั้งเล่มเลย แต่ผมขออนุญาตคัดเฉพาะ ตอนที่ผม คิดว่า มีประเด็นที่น่าสนใจ สำหรับผู้ที่กำลังสนใจเรื่อง พระพุทธศาสนาในช่วงนี้ ตอนหนึ่งท่านนิพนธ์ไว้ดังนี้
"พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว ไม่ทรงเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอีกต่อไป แต่พระพุทธบารมียังพรั่งพร้อม
พระอาจารย์สำคัญองค์หนึ่งเล่าไว้ว่า เมื่อท่านปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นในป่าดงพงพีนั้น พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปทรงสอนท่าน ด้วยพุทธ บารมีเสมอ และท่านพระอาจารย์องค์นั้น ต่อมาก็เป็นที่ศรัทธา เคารพของ พุทธศาสนิกจำนวนมาก ที่เชื่อมั่นว่า ท่านปฏิบัติถึงจุดหมายปลายทางแล้ว
พระพุทธเจ้าเมื่อเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ด้วยพระพุทธบารมีได้เสด็จไปทรงแสดงธรรม โปรดพระอาจารย์องค์สำคัญ ให้บรรลุมรรคผล นิพพานได้
ไม่มีอะไรให้สงสัยว่า เป็นสิ่งสุดวิสัย เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ มีเรื่องของท่านพระโมคคัลลาน์เป็นเครื่องยืนยันรับรอง คือ
เมื่อปฏิบัติธรรมถึงจุดปรารถนาสูงสุดแล้ว ท่านถูกโจรเจ้ากรรมในอดีตพยายามหาทางทำลายชีวิตท่าน
ท่านพยายามใช้อิทธิฤทธิ์หลบหลีก แต่โจรก็ติดตามไม่หยุดยั้ง ท่านเบื่อหน่ายที่จะหนีต่อไป จึงยอมให้โจรจับได้ และทุบท่าน จนร่างแหลก เหลว นิพพานในที่สุด
เมื่อนิพพานแล้ว ท่านได้รวมร่างเข้าอีกครั้งหนึ่ง เหาะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า กราบทูลเรื่องราวให้ทรงทราบ แล้วกราบทูลลา
เรื่องของท่านพระโมคคัลลานะ เป็นเครื่องให้ความเข้าใจอย่างกระจ่างแจ่มชัดว่า พระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์เจ้าก็ดี แม้ดับขันธ์ ปรินิพพานแล้ว ท่านก็เพียงไม่มีร่างเหลืออยู่เท่านั้น บารมีและคุณธรรมทั้งปวง ยังพรั่งพร้อมเป็นประโยชน์ได้อย่างยิ่ง"
"เมื่อมั่นใจในความดำรงอยู่อย่างยั่งยืนนิรันดร แห่งพระพุทธบารมี หรือคุณธรรมของพระพุทธองค์ และของครูอาจารย์สำคัญทั้งหลาย ที่ท่านไกลแล้วจากกิเลส เครื่องเศร้าหมอง พุทธศาสนิกทั้งหลาย ผู้มีสัมมาปัญญา สัมมาทิฏฐิ ก็ควรเร่งปฏิบัติพระพุทธศาสนา ให้ได้เป็นคนดี ตามลำดับไป ให้เป็นที่ปรากฏประจักษ์ ในพระญาณหยั่งรู้ ของพระพุทธองค์ เท่ากับเปิดประตูใจออก อย่างกว้างขวาง รับพระพุทธบารมี ให้พระพุทธบารมี เสริมส่งบารมีของตน จนกว่าตนเองจะสามารถเป็นผู้มีบารมี มีคุณธรรม ดำรงยั่งยืนอยู่ได้เช่นท่าน ผู้เป็นพุทธอริยสาวกทั้งหลาย
วันนั้นมาถึงผู้ใดเมื่อไร วันนั้นผู้นั้นก็จะไม่ต้องกังวลที่จะใช้ชีวิตนี้ ทำทางหนีมือแห่งกรรม และไม่ต้องกังวลสร้างชีวิตในชาติอนาคต ให้สมบูรณ์สวยสดงดงามต่อไป"
ผมไม่ทราบว่า ธรรมะของสมเด็จท่าน จะซึมซาบเข้าไปในใจของ บรรดากลุ่มคนพาล ผู้คิดการร้ายต่อพระพุทธศาสนาทั้งหลาย บ้างหรือไม่ บุคคลผู้แสวงหาความไม่สงบในบ้านเมืองอยู่ตลอด
แม้ศาลสงฆ์จะตัดสินให้ยุติแล้วก็ยังไม่ยอม
พยายามสร้างความวุ่นวายไม่รู้จบ พยายามสร้างสงครามศักดิ์สิทธิ์ ทำลายล้างชาวพุทธ ผู้ถือศีลบริสุทธิ์ อย่างไม่ยอมเลิกลา
ชาวพุทธที่นั่งสมาธิปฏิบัติธรรมอย่างสงบ ชาวพุทธที่ถือขันติบารมีหนักแน่น ไม่ตอบโต้ ไม่ว่าจะโดนกล่าวร้ายรุนแรงเพียงใด
ครับ เป็นคนดียุคนี้มันยาก ยากจริงๆ แต่อดทนสร้างบารมีต่อไปนะครับ พวกเราไม่ต้องกลัวอะไร ชิตัง เม
กาขาว