เป็นข้อเขียนในรายงานเรื่องภิกษุณีสงฆ์ ที่พระคุณเจ้าที่คุ้นเคยกัน ท่านทำส่งอาจารย์มหาวิทยาลัย แล้วผมได้มีส่วนในการช่วยพิมพ์ เห็นว่ามีประโยชน์ก็เลยขออนุญาตนำเอามาเผยแพร่ให้เป็นข้อศึกษา
-----------------------------------
คำถามคำตอบ ว่าด้วยเรื่องการบวชภิกษุณีสงฆ์ในประเทศไทย
๑. ปัญหาเรื่องการบวชภิกษุณี
๑) ถาม : ประเทศไทยเคยมีภิกษุณีสงฆ์มาก่อนหรือไม่
ตอบ : ไม่เคยปรากฏว่า ในประเทศไทยมีภิกษุณีสงฆ์มาก่อน
๒) ถาม : ผู้จะเป็นภิกษุณี จะได้รับการบวชโดยวิธีการอย่างไรบ้าง
ตอบ : โดยการบรรพชาเป็นสามเณรี ซึ่งอุปัชฌาย์คือ ภิกษุณี เรียกว่า ปวัตตินี เมื่อบรรพชาเป็นสามเณรีแล้ว ต้องประพฤติสิกขาบท ๖ ข้อ ตลอด ๒ ปี เรียกว่านางสิกขมานา ในระหว่าง ๒ ปี นั้น หากประพฤติล่วงละเมิดสิกขาบทข้อใดข้อหนึ่งไป ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ ต่อเมื่อถือสิกขาบทครบ ๒ ปีแล้ว จึงจะมีสิทธิได้บวชเป็นภิกษุณี โดยต้องบวชในสงฆ์ สองฝ่าย บวชในฝ่ายภิกษุณีสงฆ์ให้เรียบร้อยบริบูรณ์แล้ว สวดถามอันตรายิกธรรมเสร็จแล้ว สวดญัตติจตุตถกรรมวาจาเสร็จแล้ว จึงจะมาบวชในฝ่ายภิกษุอีกครั้งหนึ่ง เป็นขั้นตอนการรับเข้าหมู่สงฆ์
๓) ถาม : ถ้าหากไม่บวชในสงฆ์สองฝ่าย จะบวชในสงฆ์ฝ่ายเดียว เช่น มีพระภิกษุเป็นผู้บวชให้ ได้หรือไม่
ตอบ : ไม่ได้ การบวชภิกษุณีต้องบวชในสงฆ์สองฝ่ายเท่านั้น ถ้าหากไม่มีภิกษุณีสงฆ์ พระภิกษุจะบวชสตรีเป็นสามเณรี และเป็นภิกษุณีไม่ได้ ถึงบวชก็ไม่เป็นภิกษุณี
๔) ถาม : ในครั้งพุทธกาล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตให้พระภิกษุทั้งหลาย บวชนางสากิยานี ๕๐๐ ให้เป็นภิกษุณี ก็เท่ากับได้รับการบวชจากฝ่ายพระภิกษุสงฆ์ฝ่ายเดียว และพระผู้มีพระภาคเจ้ายังไม่ได้ทรงยกเลิกการอนุญาตเรื่องนี้ ในเมื่อขณะนี้ในประเทศไทยไม่มีภิกษุณีสงฆ์ ก็น่าจะให้พระภิกษุบวชให้สตรีแทนก็ได้ ตามพุทธานุญาตเดิม
ตอบ : ทำเช่นนั้นไม่ได้ พุทธานุญาตที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตให้พระภิกษุบวชสตรีเป็นภิกษุณีนั้น เป็นพุทธานุญาตในขณะนั้นเท่านั้น ต่อเมื่อมีภิกษุณีสงฆ์แล้ว พระองค์ก็ทรงให้บวชในสงฆ์สองฝ่าย ถ้าหากว่าพุทธานุญาตดังกล่าวนั้นยังไม่ยกเลิก ก็แสดงว่าในภายหลังจะต้องมีภิกษุณีสงฆ์สองประเภท คือบวชเฉพาะในฝ่ายพระภิกษุฝ่ายเดียว กับแบบที่บวชในสงฆ์สองฝ่าย สตรีบางท่านอาจถือว่าเมื่อก่อนนี้ มีสตรีบวชเป็นภิกษุณีได้โดยรับการบวชจากพระภิกษุฝ่ายเดียว ดังนั้นฉันก็จะไม่ขอบวชในสงฆ์สองฝ่าย แต่จะขอบวชในฝ่ายภิกษุสงฆ์ฝ่ายเดียวเท่านั้น สังฆมณฑลมิยุ่งกันใหญ่หรือ ดังนั้นพุทธานุญาตที่ให้พระภิกษุสงฆ์บวชสตรีเป็นภิกษุณีได้เอง จึงยกเลิกไปโดยปริยาย เมื่อมีภิกษุณีสงฆ์เกิดขึ้นแล้ว
๒. ปัญหาเรื่องสิทธิสตรี
๕) ถาม : สตรีไม่มีสิทธิบวชเป็นภิกษุณีหรือ?
ตอบ : สตรีทุกคนมีสิทธิบวชเป็นภิกษุณี
๖) ถาม : ถ้าสตรีมีสิทธิบวชเป็นภิกษุณี ก็ต้องบวชได้สิ ทำไมพระสงฆ์ไทยจึงไม่บวชให้
ตอบ : สตรีทุกคนมีสิทธิบวชเป็นภิกษุณี แต่พระสงฆ์ไทย ไม่มีสิทธิบวชให้สตรีเป็นภิกษุณี เพราะไม่มีพุทธานุญาตไว้เช่นนั้น
๗) ถาม : การที่คณะสงฆ์ไทยไม่ยอมบวชสตรีเป็นภิกษุณี เท่ากับกีดกันสิทธิสตรีใช่หรือไม่
ตอบ : คณะสงฆ์ไทยไม่ได้กีดกันสิทธิของใคร และไม่มีสิทธิจะทำเช่นนั้น แต่คณะสงฆ์ไทยท่านยอมรับโดยดุษณีว่า ท่านไม่มีสิทธิจะไปบวชให้ใครเป็นภิกษุณี ดังนั้น สตรีทุกคน หรือ สตรีทั่วโลก มีสิทธิบวชเป็นภิกษุณี แต่ปัญหาคือ ใครจะมีสิทธิในการบวชให้สตรีเป็นภิกษุณี
๘) ถาม : มีคำกล่าวว่า คณะสงฆ์ไทยไม่สามารถบวชภิกษุณีได้ เพราะมีพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ ห้ามเอาไว้ นี่เป็นการกีดกันสิทธิสตรีหรือไม่
ตอบ : พระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราชเจ้าดังกล่าว เป็นการประกาศห้ามพระภิกษุบวชสตรีเป็นภิกษุณี ไมได้ห้ามสตรีไปบวชเป็นภิกษุณี
๙) ถาม : พระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ ออกก่อนรัฐธรรมนูญปี ๒๔๗๕ รัฐธรรมนูญให้สิทธิบุรุษและสตรีเท่าเทียมกัน ในเมื่อรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายใหญ่กว่า ก็ควรยกเลิกพระบัญชาฯ จะได้ให้พระภิกษุบวชสตรีเป็นภิกษุณีและสามเณรีได้
ตอบ : แท้จริงพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ฯ ควรถือว่ายกเลิกโดยปริยาย นับตั้งแต่พระองค์สิ้นพระชนม์ไปแล้ว แต่ถึงแม้พระบัญชาจะมีผลอยู่ก็ตาม แล้วจะพยายามยกเลิกพระบัญชา ก็ไม่ได้หมายความว่าพระภิกษุจะบวชสตรีเป็นภิกษุณีได้ทันที
๑๐) ถาม : พระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ฯ ห้ามพระภิกษุบวชสตรีเป็นภิกษุณีและสามเณรี เมื่อยกเลิกแล้ว พระภิกษุก็สามารถบวชสตรีเป็นภิกษุณีได้
ตอบ : พระบัญชา ฯ แม้ว่าจะออกโดยพระอำนาจในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นพระสังฆราช แต่เนื้อหาในพระบัญชา เป็นการอ้างอิงตามพระวินัย คือ พระภิกษุไม่มีสิทธิบวชให้สตรีเป็นภิกษุณี ดังนั้น ถึงจะยกเลิกพระบัญชาไปแล้ว พระภิกษุก็ไม่มีทางบวชให้สตรีเป็นภิกษุณีได้อยู่ดี เพราะยังมีพระวินัยอยู่ ถ้าหากจะทำให้พระภิกษุบวชสตรีเป็นภิกษุณีได้ ก็ไม่ใช่เพียงแต่ยกเลิกพระบัญชา แต่ต้องยกเลิกพระวินัย ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าบัญญัติเอาไว้ ซึ่งใครมีสิทธิจะทำเช่นนั้นได้ ใครมีสิทธิจะไปยกเลิกพระวินัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าบัญญัติไว้ได้
๓. ปัญหาเรื่องการยกเลิกสิกขาบทเพื่อบวชภิกษุณี
๑๑) ถาม : เรื่องการบวชภิกษุณีและสามเณรีเป็นเรื่องของพระวินัยใช่หรือไม่
ตอบ : การบวชภิกษุณีและสามเณรีเป็นเรื่องของพระวินัย
๑๒) ถาม : พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพุทธานุญาตไว้ว่า เมื่อกาลเวลาล่วงไปแล้ว สงฆ์จำนงอยู่ จะเพิกถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียบ้างก็ได้
ตอบ : มีพระพุทธานุญาตไว้เช่นนั้นจริง
๑๓) ถาม : ถ้าเป็นอย่างนี้ ก็ควรยกเลิกพระวินัยในเรื่องการบวชภิกษุณีสงฆ์ เพราะเป็นเรื่องสิกขาบทเล็กน้อยเท่านั้น
ตอบ : คำว่า สิกขาบทเล็กน้อย หมายถึงสิกขาบทในพระปาติโมกข์ หรือข้อปฏิบัติของพระภิกษุสงฆ์ เช่น สิกขาบท ๒๒๗ ข้อ เป็นต้น ไม่ได้ทรงมีพุทธานุญาตไปถึงพระวินัยทั้งหมดทั้งปวงที่ทรงบัญญัติ ดังนั้น การใช้ข้ออ้างจากพุทธานุญาตว่าให้เพิกถอนสิกขาบทเล็กน้อย มาใช้กับเรื่องพระวินัยในส่วนอื่นนั้นทำไม่ได้
๔. ปัญหาเรื่องประโยชน์ในการบวชภิกษุณี
๑๔) ถาม : สตรีมีสิทธิในการปฏิบัติธรรมและการบรรลุธรรมเทียบเท่ากับบุรุษ ดังนั้น สตรีจึงควรมีสิทธิบวชเป็นภิกษุณี
ตอบ : สตรีทุกคนมีสิทธิบวชเป็นภิกษุณี แต่ปัญหาคือจะหาใครมามีสิทธิบวชให้ใครเป็นภิกษุณี
๑๕) ถาม : ถ้าหากว่าประเทศไทยมีภิกษุณีสงฆ์ ก็จะทำให้ช่วยลดปัญหาทางสังคมลงไปได้มาก เช่นปัญหาเรื่องโสเภณี การขายตัว เป็นต้น
ตอบ : ครั้งพุทธกาลมีภิกษุณี แต่ก็ยังมีโสเภณีอยู่ด้วยเหมือนกัน แสดงว่า ภิกษุณี กับโสเภณี เป็นคนละเรื่องกัน การอ้างว่าจะต้องมีภิกษุณี เพื่อให้ปัญหาโสเภณีลดน้อยลง จึงไม่ใช่เรื่องที่สมเหตุสมผลแต่อย่างใด
อนึ่ง การที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตให้มีพระภิกษุณีสงฆ์ พระองค์ก็ทรงอนุญาตเพราะความที่สตรีมีความตั้งใจในการปฏิบัติธรรม มีความมั่นคงแน่นอนว่าจะสามารถประพฤติพรหมจรรย์ได้ และทรงเห็นความเด็ดเดี่ยวของพระนางปชาบดีโคตมี และนางสากิยานี ๕๐๐ จึงทรงอนุญาตให้มีภิกษุณีสงฆ์ ถ้าหากว่าพระนางปชาบดีโคตรมียกข้ออ้างทำนองเดียวกันกับผู้ถาม เช่นว่า ถ้าหากมีภิกษุณี ปัญหาโสเภณีและปัญหาสังคมจะลดน้อยลง พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงอนุญาตให้หรือ
๑๖) ถาม : พระภิกษุเดี๋ยวนี้มีความประพฤติไม่เรียบร้อย ถ้าสตรีได้บวชเป็นภิกษุณี น่าจะมีความประพฤติเรียบร้อยกว่า
ตอบ : ปัญหาของพระภิกษุสงฆ์นั้นมีอยู่แน่นอน แต่ก็เป็นเรื่องของพระภิกษุสงฆ์ที่จะต้องแก้ไขกันเอง การที่สตรีจะได้เป็นภิกษุณี หรือไม่ได้เป็นภิกษุณี หรือพระภิกษุสงฆ์จะสามารถบวชให้สตรีเป็นภิกษุณีได้ ก็ไม่ได้เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกันกับปัญหาการประพฤติตัวของพระภิกษุ
๑๗) ถาม : สตรีไม่มีสิทธิปฏิบัติธรรม และไม่มีสิทธิบวชเหมือนบุรุษเลยหรือ
ตอบ : สตรีทุกคนมีสิทธิปฏิบัติธรรม และมีสิทธิบวชเหมือนบุรุษ แต่ปัญหาคือ ใครมีสิทธิบวชให้สตรี
๕. ปัญหาเรื่องการมีภิกษุณีในประเทศไทย
๑๘) ถาม : ไม่มีทางที่จะมีภิกษุณีสงฆ์ในประเทศไทยเลยใช่หรือไม่
ตอบ : ภิกษุณีสงฆ์สามารถมีได้ในประเทศไทย
๑๙) ถาม : แล้วทำไมคณะสงฆ์ไทยจึงไม่อนุญาตให้มีการบวชภิกษุณี
ตอบ : คณะสงฆ์ไทยไม่เคย ไม่อนุญาต ให้มีการบวชภิกษุณี ใครจะไปบวชเป็นภิกษุณีมาจากประเทศไหนก็ทำได้ทั้งนั้น คณะสงฆ์ไทยไม่มีสิทธิไปห้ามแต่อย่างใด เมื่อไปบวชมาแล้ว จะมาตั้งสำนัก ตั้งวัด ตั้งสถานที่สอนธรรม ปฏิบัติธรรม ก็มีสิทธิอย่างเต็มที่ ไม่มีใครห้ามเลย คณะสงฆ์ไทยเพียงแต่บอกว่า ตัวท่านเองนั้น ไม่มีสิทธิจะบวชให้ใครเป็นภิกษุณี
๖. ปัญหาเรื่องกฏหมายรับรองสถานภาพภิกษุณี
๒๐) ถาม : ผู้ที่ไปบวชเป็นภิกษุณีมาจากประเทศอื่น อาจเป็นเถรวาท หรือมหายาน มีสิทธิอยู่ในประเทศไทย สามารถสอนธรรม ตั้งสำนักปฏิบัติธรรม ดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่ใช่หรือไม่
ตอบ : สตรีที่ไปบวชเป็นภิกษุณีมาจากประเทศไหนๆ หรือจากคณะไหน ๆ ก็ตาม มีสิทธิเต็มที่ในการดำเนินการได้ทุกอย่างในประเทศไทย
๒๑) ถาม : ถ้าเช่นนั้นก็น่าจะมีกฎหมายรับรองสถานภาพของภิกษุณีเหล่านั้น
ตอบ : เรื่องกฎหมายเป็นเรื่องของทางบ้านเมือง ไม่ใช่เรื่องคณะสงฆ์ไทยแต่อย่างใด ผู้ที่ต้องการจะมีสิทธิทางกฏหมาย หรือสิทธิอื่นใดก็แล้วแต่ เช่นการได้รับความคุ้มครองจากรัฐ การได้รับการสนับสนุนจากรัฐ หรือสิทธิอื่นใดก็ตาม ก็เป็นเรื่องของทางรัฐเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับคณะสงฆ์ คณะสงฆ์ไทยไม่มีสิทธิจะไปนำเสนออะไรอย่างนั้นได้ เพราะคณะสงฆ์เองก็อยู่ในฐานะการได้รับการอุปถัมภ์จากรัฐเช่นเดียวกัน จึงไม่สามารถจะไปช่วยเรื่องสิทธิกฏหมายอะไรให้ใครได้ ดังนั้น ถ้าหากท่านผู้ต้องการจะได้สิทธิต่าง ๆ จากรัฐ ก็คงต้องเรียกร้องกันเอง แต่คงต้องถามท่านผู้ต้องการสิทธิเหล่านั้นของภิกษุณีว่า ท่านต้องการสิทธิเหล่านั้นเพื่ออะไร และที่สำคัญ การที่ท่านบวชมานั้น ท่านบวชมาเพื่อจุดประสงค์อะไรกันแน่
๗. ปัญหาเรื่องนิกายกับการบวช
๒๒) ถาม : การบวชภิกษุณีต้องทำโดยสงฆ์สองฝ่ายใช่หรือไม่
ตอบ : การบวชภิกษุณีต้องทำโดยสงฆ์สองฝ่าย
๒๓) ถาม : ถ้าเช่นนั้นก็ใช้วิธีง่าย ๆ คือให้มีพระภิกษุสงฆ์ไทย เป็นเถรวาท รวมกับภิกษุณีสงฆ์มหายาน หรือภิกษุณีสงฆ์ศรีลังกา มาบวชให้สตรีเป็นภิกษุณีได้สิ ถือว่าครบสงฆ์สองฝ่ายแล้ว
ตอบ : ทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะเป็นนานาสังวาสต่อกัน ถึงจะบวชขึ้นมา สตรีนั้นก็ไม่เป็นภิกษุณี สังฆกรรมเสียเปล่า
๒๔) ถาม : ทำไมจะต้องไปยึดติดเรื่องนิกาย ในสมัยพุทธกาลก็ไม่เห็นมีเรื่องนิกาย
ตอบ : สมัยพุทธกาลไม่มีเรื่องนิกาย แต่มีเรื่องนานาสังวาส และในสมัยนี้ มันก็มีเรื่องนิกาย และมีทั้งเรื่องนานาสังวาสขึ้นมาแล้ว จึงไม่สามารถบวชสตรีเป็นภิกษุณี โดยสงฆ์คนละนิกาย ซึ่งเป็นนานาสังวาสต่อกันได้
๒๕) ถาม : ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่า คณะสงฆ์ไทยยังคงยึดติดเรื่องนิกายอยู่
ตอบ : ถ้าหากจะไม่มีเรื่องนิกายเลย สุภาพสตรีที่จะบวชเป็นภิกษุณี ก็ไปบวชที่ไหนก็ได้ ในเมื่อถือว่าไม่มีนิกายอะไร ครั้งพุทธกาลก็ไม่มีนิกาย ดังนั้นจะไปบวชที่ไหนก็เหมือนกันสิ ก็ไม่มีนิกายไม่ใช่หรือ ทำไมจะต้องยึดติดกับการให้คณะสงฆ์ไทยต้องบวชให้สตรีเป็นภิกษุณี ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่มีสิทธิในการบวชให้
๘. ปัญหาเรื่องทางออกของสตรีกับการปฏิบัติธรรม
๒๖) ถาม : คณะสงฆ์ไทยควรเปิดใจกว้างมากกว่านี้ ควรให้สตรีบวชเป็นภิกษุณีได้
ตอบ : คณะสงฆ์ไทยไม่เคยปิดกั้นแต่อย่างใด แต่คณะสงฆ์ไทยท่านยอมรับสถานภาพของท่านเองว่า ท่านไม่มีสิทธิจะไปบวชให้ใครเป็นภิกษุณี เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องสิทธิของผู้จะบวช แต่เป็นสิทธิของผู้ให้บวช
๒๗) ถาม : ถ้าอย่างนั้นจะมีทางออกให้สตรีที่อยากเป็นภิกษุณี หรืออยากประพฤติปฏิบัติธรรมแบบหลีกเร้นอย่างบุรุษได้อย่างไร
ตอบ : ทางออกนั้นแท้จริงมีมากมายอยู่แล้ว คือ สตรีจะไปบวชเป็นภิกษุณีในต่างประเทศก็ได้ แล้วมาอยู่ มาเผยแผ่ ตั้งสำนักสอนธรรมปฏิบัติธรรม ในเมืองไทยก็ได้ ไม่เคยมีใครห้าม หรือสตรีจะไปบวชเป็นแม่ชี ในวัดที่มีการสอนธรรมปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง ก็ทำได้ หรือไม่ก็จัดตั้งรูปแบบนักบวชสตรีแบบใหม่ขึ้นมาเลยก็ได้
๒๘) ถาม : ทีแรกบอกว่าพระวินัยยกเลิกไม่ได้ แล้วทำไมจึงบอกว่าจะจัดตั้งรูปแบบนักบวชสตรีขึ้นมาใหม่ก็ได้
ตอบ : ไม่ได้ยกเลิกพระวินัย และไม่ได้ตั้งพระวินัยขึ้นมาใหม่ แต่เป็นการตั้งรูปแบบนักบวชขึ้นมาอีกแบบหนึ่ง โดยอาจนำเอาพระวินัยบางข้อมาฝึกหัดปฏิบัติตนเองก็ได้ การตั้งรูปแบบนักบวชนี้ เราไม่ได้เพิ่มเข้าไปใหม่ในพระธรรมวินัย แต่เป็นรูปแบบเพื่อให้สตรีได้มีความสบายใจ โดยการให้มีวิถีชีวิตการปฏิบัติธรรมที่ดีขึ้น รูปแบบการบวชแบบใหม่นี้ อาจจะนำแบบลักษณะเดียวกับในครั้งพุทธกาลมาใช้ก็ได้ เรียกกันว่า นักบวชผู้ออกบวชอุทิศพระพุทธเจ้า เช่นปุกกุสาติกุลบุตร หรือปิปผลิมาณพ ซึ่งต่อมาคือพระมหากัสสปะ, พระมหากัปปินะ พระนางอโนชาเถรีเป็นต้น ก็เคยอยู่ในฐานะเป็นผู้ออกบวชอุทิศพระพุทธเจ้ามาก่อน ก่อนที่จะได้บวชในพระวินัย
แก้ไขเมื่อ 31 ต.ค. 55 11:17:39