การกล่าวตู่แอบอ้างคำพุทธพจน์ คือ กล่าวว่า เขียนว่า คำนี้ๆ วิชชานี้ๆ พระพุทธเจ้าได้สอนไว้ กล่าวไว้
ตัวอย่าง.....
[๖๖๒] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของ
อนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.
ครั้งนั้น พระอริฏฐะผู้เกิดในตระกูลพรานแร้ง มีทิฏฐิทรามเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า
เรารู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว โดยประการที่ตรัสธรรมเหล่าใดว่า ธรรมเหล่านี้เป็นธรรมทำอันตราย ธรรมเหล่านั้นหาอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริงไม่
ภิกษุหลายรูปได้ทราบข่าวว่า พระอริฏฐะผู้เกิดในตระกูลพรานแร้ง
มีทิฏฐิทรามเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า
เรารู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว โดยประการที่ตรัสธรรมเหล่าใดว่า ธรรมเหล่านี้เป็นธรรมทำอันตราย ธรรมเหล่านั้นหาอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริงไม่
แล้วพากันเข้าไปหาพระอริฏฐะผู้เกิดในตระกูลพรานแร้ง
ถามว่า อาวุโส อริฏฐะ ข่าวว่า ท่านมีทิฏฐิทรามเห็นปานนี้ เกิดขึ้นว่า
ข้าพเจ้ารู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว
โดยประการที่ตรัสธรรมเหล่าใดว่า
ธรรมเหล่านี้เป็นธรรมทำอันตราย ธรรมเหล่านั้นหาอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริงไม่ ดังนี้ จริงหรือ?
อ. จริงอย่างว่านั้นแล อาวุโสทั้งหลาย ผมรู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว โดยประการที่ตรัสว่า
เป็นธรรมทำอันตราย ธรรมเหล่านั้นหาอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริงไม่.
ภิ. อาวุโส อริฏฐะ ท่านอย่าได้ว่าอย่างนั้น
ท่านอย่าได้กล่าวตู่พระผู้มีพระภาค การกล่าว
ตู่พระผู้มีพระภาคไม่ดีแน่ พระผู้มีพระภาคไม่ได้ตรัสอย่างนั้นเลย
ธรรมอันทำอันตรายพระผู้มี-*พระภาคตรัสไว้โดยบรรยายเป็นอันมาก
ก็แลธรรมเหล่านั้นอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริง
กามทั้งหลายพระผู้มีพระภาคตรัสว่า มีความยินดีน้อย มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก
โทษในกามทั้งหลายนี้มากยิ่งนัก กามทั้งหลายพระผู้มีพระภาคตรัสว่า
เปรียบเหมือนร่างกระดูก มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก
โทษในกามทั้งหลายนี้มากยิ่งนัก กามทั้งหลายพระผู้มีพระภาคตรัสว่า
เปรียบเหมือนชิ้นเนื้อ
... กามทั้งหลายพระผู้มีพระภาคตรัสว่าเปรียบเหมือนคบหญ้า
... กามทั้งหลายพระผู้มีพระภาคตรัสว่าเปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิง
... กามทั้งหลายพระผู้มีพระภาคตรัสว่าเปรียบเหมือนความฝัน
... กามทั้งหลายพระผู้มีพระภาคตรัสว่าเปรียบเหมือนของยืม
... กามทั้งหลายพระผู้มีพระภาคตรัสว่าเปรียบเหมือนผลไม้
... กามทั้งหลายพระผู้มีพระภาคตรัสว่า เปรียบเหมือนเขียงสำหรับสับเนื้อ
... กามทั้งหลายพระผู้มีพระภาคตรัสว่า เปรียบเหมือนแหลนหลาว
...กามทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคตรัสว่าเปรียบเหมือนศีรษะงู มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก โทษในกามทั้งหลายนี้มากยิ่งนัก.
พระอริฏฐะผู้เกิดในตระกูลพรานแร้ง
แม้อันภิกษุเหล่านั้นว่ากล่าวอยู่อย่างนี้
ก็ยังยึดถือทิฏฐิเห็นปานนั้นอยู่ ด้วยความยึดมั่นอย่างเดิม
ซ้ำยังกล่าวยืนยันว่า ผมกล่าวอย่างนั้นจริง
อาวุโสทั้งหลาย ผมรู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว
โดยประการที่ตรัสธรรมเหล่าใดว่า
ธรรมเหล่านี้เป็นธรรมทำอันตราย
ธรรมเหล่านั้นหาอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริงไม่ ดังนี้.
เมื่อภิกษุเหล่านั้น ไม่อาจเปลื้องพระอริฏฐะผู้เกิดในตระกูลพรานแร้งจากทิฏฐิอันทรามนั้นได้ จึงพากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค กราบทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบ.
ประชุมสงฆ์ทรงบัญญัติสิกขาบท
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามพระอริฏฐะผู้เกิดในตระกูลพรานแร้งว่า
ดูกรอริฏฐะ ข่าวว่า เธอมีทิฏฐิทรามเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า
เรารู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว
โดยประการที่ตรัสธรรมเหล่าใดว่า
ธรรมเหล่านี้เป็นธรรมทำอันตราย
ธรรมเหล่านั้นหาอาจทำอันตราย แก่ผู้เสพได้จริงไม่ จริงหรือ?
พระอริฏฐะทูลรับว่า เป็นจริงดังรับสั่ง พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้ารู้ทั่วถึงธรรม
ที่พระองค์ทรงแสดงแล้ว โดยประการที่ตรัสว่า เป็นธรรมทำอันตรายได้อย่างไร ธรรมเหล่านั้นหาอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริงไม่.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรโมฆบุรุษ เพราะเหตุไร เธอจึงเข้าใจธรรมที่เราแสดงแล้วอย่างนั้นเล่า ธรรมอันทำอันตราย เรากล่าวไว้โดยบรรยายเป็นอันมากมิใช่หรือ? และธรรมเหล่านั้นอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริง
กามทั้งหลายเรากล่าวว่ามีความยินดีน้อย มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก โทษในกามทั้งหลายนี้มากยิ่งนัก
กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือนร่างกระดูก
... กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือนชิ้นเนื้อ
... กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือนคบหญ้า
... กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิง
... กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือนความฝัน
... กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือนของยืม
... กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือนผลไม้
... กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือนเขียงสำหรับสับเนื้อ
...กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือนแหลนหลาว
... กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือนศีรษะงู มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก โทษในกามทั้งหลายนี้มากยิ่งนัก
เมื่อเป็นเช่นนั้น เธอชื่อว่ากล่าวตู่เราด้วยทิฏฐิที่ตนยึดถือไว้ผิด
ชื่อว่าทำลายตนเอง และชื่อว่าประสบบาปมิใช่บุญเป็น
อย่างมาก เพราะข้อนั้นแหละ จักเป็นไปเพื่อผลไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล เพื่อผลเป็นทุกข์แก่เธอ
ตลอดกาลนาน การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ...
.............................................
การเปิดเผยความจริง
คือการนำความจริงที่ปรากฏขึ้นนั้นมาเขียน มากล่าวถึง
จากข้างบนนั้น จะพิจารณาได้ว่า การกล่าวตู่นั้นเป็นอย่างไร
การเปิดเผยความจริงโดยการกล่าวถึงผู้ที่กล่าวตู่เป็นอย่างไร
......................................................
หากพระรูปที่..
กระทำเป็นดังข้อความที่ยกมานี้ ก็ถือเป็นอันไม่ควร
.............................................................
แต่หากเป็นการเปิดเผยความจริงว่านี้ๆ กระทำไม่ถูกไม่ควร
มิใช่พระพุทธศาสนาเถรวาท ก็เป็นเรื่องสมควรที่จะนำมากล่าวถึง
เพื่อประโยชน์ เพื่อร่วมกันพิทักษ์รักษาพระพุทธศาสนา ให้ถูกต้อง ดีงาม
........................................
วิปากของการกล่าวตู่...(มุสาวาท)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
มุสาวาทอันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
ย่อมยังสัตว์ให้เป็นไปในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย
วิบากแห่งมุสาวาทอย่างเบาที่สุด ย่อมยังการกล่าวตู่ด้วยคำไม่เป็นจริงให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ปิสุณาวาจาอันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
ย่อมยังสัตว์ให้เป็นไปในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย
วิบากแห่งปิสุณาวาจาอย่างเบาที่สุด ย่อมยังการแตกจากมิตรให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิด
เป็นมนุษย์ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ผรุสวาจาอันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
ย่อมยังสัตว์ให้เป็นไปในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย
วิบากแห่งผรุสวาจาอย่างเบาที่สุด ย่อมยังเสียงที่ไม่น่าพอใจให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิด
เป็นมนุษย์ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สัมผัปปลาปะอันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
ย่อมยังสัตว์ให้เป็นไปในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย
วิบากแห่งสัมผัปปลาปะอย่างเบาที่สุด ย่อมยังคำไม่ควรเชื่อถือให้เป็นไปแก่ผู้มา
เกิดเป็นมนุษย์ ฯ
...........................
อีกตัวอย่างหนึ่ง ที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า
ไม่ให้บัญญัติสิ่งที่พระพุทธองค์มิได้บัญญัติไว้....เช่น
ภิกขุสูตร
[๒๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ ใกล้
พระนครราชคฤห์ ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงอปริหานิยธรรม ๗ ประการแก่เธอทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงตั้งใจฟัง จงใส่ใจไว้ให้ดีเราจักกล่าว
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้วพระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อปริหานิยธรรม ๗ ประการเป็นไฉน
ภิกษุทั้งหลายหมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ เพียงใด พึงหวังความเจริญได้
แน่นอน ไม่พึงหวังความเสื่อมเลย เพียงนั้น
ภิกษุทั้งหลายเมื่อประชุมก็พร้อมเพรียงกันประชุม เมื่อเลิกประชุมก็พร้อมเพรียงกันเลิก จักพร้อมเพรียงช่วยกันทำกิจที่สงฆ์พึงทำ เพียงใด พึงหวังความเจริญได้แน่นอน ไม่พึงหวังความเสื่อมเลยเพียงนั้น
ภิกษุทั้งหลายจักไม่บัญญัติสิ่งที่ยังไม่ได้บัญญัติ
จักไม่เพิกถอนสิ่งที่บัญญัติแล้ว ...
.............................
การกล่าวว่าวิชชาธรรมกายนี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น
ก็พิจารณากันเถิดว่า เป็นการกล่าวตู่หรือไม่
เป็นการบัญญัติข้อธรรมขึ้นมาใหม่หรือไม่
..................................
แต่เก่าก่อน หาหนังสืออ่านยาก หาแหล่งเรียนรู้ธรรมได้ยาก
แต่ปัจจุบัน มีแหล่งเรียนรู้ธรรมได้มากยิ่งขึ้น
เราสามารถตรวจสอบความถูกต้องของธรรม
วิธิการปฏิบัติเพื่อสมาธิ วิปัสสนาภาวนา
ที่มีอยู่ในพระไตรปิฏกนั้น ก็มีอยู่หลายวิธี
หากเรามีพระพุทธเจ้าเป็นพระศาสดา
ก็ควรที่จะสนใจศึกษา ปฏิบัติตามแนวที่มีอยู่
ก็น่าจะพอเพียงต่อการทำที่สุดแห่งทุกข์
......................................
ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบทุกท่านเทอญ
.....................
กายคตาสติ...ที่ปรมัตถ์